ใครว่าความอดทนไม่ต้องใช้การฝึกฝน?

เวลาเราพูดว่า “คนนี้เค้ามีความอดทนดีนะ” บางทีเราจะคิดว่าเค้าเกิดมาพร้อมความอดทนแล้ว เหมือนเป็นพรสวรรค์ยังไงยังงั้น แต่จริงๆแล้ว แม้คนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้รับการสอนและฝึกฝนที่ดี ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นได้

รางวัลจากงานวิ่งในวันนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ดี ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นรางวัลแรกของงานเล็กๆ ซึ่งนักวิ่งเก่งๆส่วนใหญ่จะไปวิ่งงานที่ใหญ่กว่า ที่มีเงินรางวัล แต่งานนี้ก็ถือว่ารางวัลน้อย มีแค่ที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่มีการแบ่งช่วงอายุของถ้วยรางวัล จึงไม่ได้คาดหวังอะไร และเวลาที่เราทำได้ใน 10 กิโลเมตรก็ไม่ได้น้อยอะไรมากมาย รู้แต่ว่าต้องวิ่งรักษาระดับความเร็วของตัวเองไว้ หากเหลือแรงค่อยใส่ช่วงท้าย แต่ห้ามใส่หมด เพราะวิ่ง 10 กิโลเมตรวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งในระยะ 16.1 กิโลเมตรของโปรแกรมซ้อมวิ่งฮาร์ฟมาราธอน ต้องเก็บแรงไว้สำหรับ 6.1 กิโลเมตรที่เหลือด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องวิ่ง pace ไม่ให้เกิน 5.50 นาทีต่อกิโลเมตรใน 10 กิโลเมตรนี้

จะเห็นได้ว่าเรามีการวางแผนในระดับหนึ่ง ที่เหลือดูร่างกายว่าไหวขนาดไหน เพราะอากาศค่อนข้างอ้าววันนี้ น้ำดื่มเข้าไปพอหรือไม่ อาหารว่างที่ทานเข้าไปพอให้มีแรงวิ่งหรือไม่ หลังจากนั้นก็แค่ออกวิ่ง

แต่…เบื้องหลังการเตรียมตัวนี้คือการฝึกฝนความอดทน และย้อนกลับกันคืออดทนต่อการฝึกฝนนั่นเอง การวางแผนการซ้อมวิ่งอย่างเป็นรูปธรรมและมีความเป็นไปได้ พร้อมออกไปวิ่งตามแผนอย่างไม่เกี่ยงงอน คือการฝึกฝนความอดทน เมื่อกำลังวิ่งอยู่รู้สึกอยากหยุด อยากเดิน ร้อน เหนื่อย เพลีย ล้า แต่ไม่หยุดเมื่อเห็นว่าร่างกายยังไหว ที่อยากหยุดนั้นแค่ความรู้สึก นั่นคือการอดทนต่อการฝึกฝน

และเบื้องหลังทุกความสำเร็จในแต่ละขั้นตอน คือ หลักการของอิทธิบาท 4

“ฉันทะ = เต็มใจวิ่ง”
ฉันทะต่อการวิ่งคือแรงจูงใจดีๆที่ทำให้เราอยากออกไปวิ่ง และเหตุผลดีๆที่เราชอบมัน เราต้องหามันให้เจอ

“วิริยะ = แข็งใจวิ่ง”
ต่อไปก็ใส่วิริยะเข้าไปด้วย นี่คือความอดทน ความพากเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ศึกษาเรียนรู้การฝึกซ้อมที่เกิดผลดีต่อตนเอง และที่เหลือก็คือลงมือทำ หรือลงเท้าวิ่งนั่นเอง

“จิตตะ = ตั้งใจวิ่ง”
พร้อมกับจิตตะ คือความเอาใจใส่ มีใจจดจ่อในการฝึกซ้อม และลงเท้าวิ่งจริงๆด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น ปรับเปลี่ยนโปรแกรมตามสภาพร่างกายได้ คอยสังเกตร่างกายขณะซ้อม และแข่ง ช้าไป เร็วไป จะเร่ง จะผ่อน แบบนี้มากไป ปรับลดซะหน่อย แบบนี้น้อยไป เพิ่มอีกสักหน่อย ทั้งหมดนี้ต้องทำด้วยความรอบคอบ ด้วยสมาธิ จนถึงจุดที่สามารถวิเคราะห์ตนเองได้ดีอย่างใจเป็นกลาง

“วิมังสา = เข้าใจวิ่ง”
และสุดท้ายคือวิมังสา คือการได้ทบทวนทั้งหมดที่ตนเองได้ทำมา ทั้งการซ้อมและการแข่ง เพื่อการปรับปรุงโปรแกรมต่างๆให้ดียิ่งขึ้นไปอีก บางทีได้ไปถึงมุมมองของการวิจัยและพัฒนาการวิ่งของตนเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยนะคะ

ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ต้องทำซ้ำๆจนเป็นนิสัย และเกิดวินัย คำสอนของพระพุทธเจ้าใช้ได้ผลตลอดกาล ไม่มีหมดอายุ หรือล้าสมัย

ไม่รู้ว่าจะมีรางวัลอื่นอีกหรือไม่ แต่บอกตัวเองได้ว่าวันนี้วิ่งได้ดีตามแผน
โดยร่างกายปลอดภัย ไม่เจ็บใดๆ ก็พอแล้วค่ะ ส่วนรางวัลถือว่าเป็นของแถม เป็นกำลังใจ เป็นรางวัลของความอดทนที่ได้ฝึกฝนมาตลอด 2 ปีนี้

ขอให้เพื่อนนักวิ่งสร้างผลการวิ่งที่ดีได้จากหลักอิทธิบาท 4 กันทุกคนนะคะ

17 ม.ค. 2559

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: