ฮาล์ฟแรกในชีวิต ไม่คิดว่าจะติดอันดับ

เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ถึงวันวิ่งฮาล์ฟแรก ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น จากเดิมที่นับวันรออยู่แล้ว แม้จะลงซ้อมตามโปรแกรม แต่ซ้อมไม่ครบเพราะมัวไปเที่ยวอยู่ 2 สัปดาห์ ความมั่นใจเลยแทบไม่มี เรียกว่าไม่มั่นใจเลยว่าจะวิ่งจนถึงเส้นชัยได้

อาการแพ้อากาศเริ่มมาเยือน เมื่ออากาศเย็นลง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้คัดจมูก จึงรีบทานยาแก้แพ้ และเข้านอนตอนสามทุ่ม ตั้งใจว่าจะตื่นตีสามครึ่ง แต่ด้วยความตื่นเต้นจึงทำให้ ลุกมาดูนาฬิกาเกือบทุกครึ่งชั่วโมงก็ว่าได้ แต่ก็หลับได้ดี จนนาฬิกาปลุกตีสามครึ่ง ยังขอหลับต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง สะดุ้งตื่นตอนตีสี่ อุ่นข้าวไก่กระเทียมพริกไทยทาน ตามด้วยกล้วยหอม 1 ลูก กะว่าน่าจะย่อยได้ดีตอนปล่อยตัว ทำให้ไม่จุกแน่ๆ

เชคของก่อนออกว่าครบหรือไม่
1. สายคาดเอวพกมือถือเพื่อบันทึกระยะทาง และเวลาขณะวิ่ง
2. กระดาษทิชชู วิ่งไกล เผื่อไว้ก็ดี ปวดเบาไม่ว่า แต่ถ้าปวดหนักนี่หน้าเขียวได้ โดยเฉพาะวิ่งไกลนี่ กระตุ้นระบบย่อยอาหารได้ดีนักล่ะ
3. Energy pack เผื่อหิวระหว่างทาง สำหรับเรา เรื่องหิวเรื่องใหญ่ แม้จะซัดข้าวมาแล้วก็เถอะ
4. BIB พร้อมติดกับสายคาดเอว วันนี้ไม่ติดกับเสื้อ เพราะไม่ได้ใส่เสื้อที่งานให้มาค่ะ มันเป็นเสื้อยืดธรรมดา ไม่เหมาะกับการวิ่งระยะไกล และไม่อยากให้เสื้อที่ใส่วิ่งประจำมีรูพรุนจากเข็มกลัดค่ะ
5. หมวกมีปีกแต่เปิดหัว เพื่อรับลมระบายอากาศได้ดี และมีปีกเพื่อกันแดด ขาไปพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ปล่อยตัว 5.30 น.  ครึ่งทางก็ 6.30 น. พระอาทิตย์เริ่มขึ้น กลับตัวมาแล้วจะวิ่งหันหน้าหาพระอาทิตย์โดยตรงเลย จำเป็นต้องมีหมวกบังแดด ส่วนตัวจะสู้แดดไม่ค่อยได้ค่ะ
6. เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า ที่ใส่ซ้อมประจำ เพราะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว
7. นาฬิกา GPS ที่จับชีพจรได้ เพื่อดูความเร็วกับความเหนื่อยระหว่างทาง

ถึงจุดปล่อยตัว ตีห้านิดๆ ฝากของเรียบร้อยแล้ว จึงได้ยืดกล้ามเนื้อและอบอุ่นร่างกายพอประมาณ ตกลงกับตัวเองไว้ว่า 10 กิโลแรก ให้วิ่ง pace ต่ำกว่า 6 เอาไว้ และหลังจากนั้นจะเกิน 6 ก็ไม่ว่ากัน ให้วิ่งออมแรงไว้ เพราะดูจากทางแล้ว จะมีวิ่งขึ้นสะพานขาไป หลังจากนั้นจะเป็นเนินขึ้นลงอีกประมาณ 3 เนิน ขากลับจะเจอเนินอีกเล็กน้อย ต้องเผื่อแรงตอนขึ้นเนินท้ายๆด้วย แต่สามารถใช้ประโยชน์จากการวิ่งลงเนิน ลงสะพานได้ด้วยการปล่อยตัวลงมาตามสภาพขาเวลานั้น เมื่อวางแผนเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวออกวิ่งกันได้เลย

วิ่งผ่านไป 10 กิโลแล้ว อีกครึ่งกิโลจะถึงจุดกลับตัว ช่วง 10 กิโลที่ผ่านมาดูเวลาแล้ว พบว่ารักษาความเร็วไว้ได้ดีที่ 5.47 ซึ่งเป็นความเร็วที่ใช้ซ้อมอยู่แล้ว ถึงจะวิ่งต้านลมก็ยังรู้สึกสบายๆ ดูชีพจรยังอยู่ในโซนที่ไม่เหนื่อยเกินไป เวลารวมยังไม่เกิน 1 ชั่วโมง ถือว่ายังใช้ได้อยู่ พอได้อากาศเย็นๆ ลมพัดเย็นๆมาปะทะหน้า แม้จะเป็นลมต้านการวิ่ง แต่ก็ช่วยให้สดชื่นได้ และขอให้ตอนกลับตัว ลมยังพัดแบบนี้อยู่ เพราะนอกจากจะเย็นสบายแล้ว ยังช่วยให้วิ่งเร็วขึ้นได้ค่ะ

มีรถสุขาที่จุดกลับตัวค่ะ จริงๆแล้วเริ่มปวดเบาตั้งแต่จุดปล่อยตัว แต่ไม่มาก พิจารณาแล้วพอทนได้อีก 1 ชั่วโมง จึงตัดสินใจกลับตัว วิ่งต่อไป

ที่กิโล 12-14 เริ่มมีอาการเจ็บที่ฝ่าเท้าซ้ายใต้นิ้วหัวแม่เท้าจากการเสียดสี ของเดิมเป็นตุ่มน้ำอยู่แล้ว ถนนฝั่งขากลับ พื้นถนนค่อนข้างขรุขระ ยิ่งทำให้ทุกก้าวที่วางลงไปมีแรงกระแทกมาก พยายามหาทางเรียบๆวิ่ง กำหนด เจ็บหนอ เจ็บหนอ เพราะยังไม่อยากหยุดวิ่ง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าไม่ไหวจริงๆจะหยุด เมื่อเจ็บมากเข้าเลยเปลี่ยนกลยุทธมานับก้าววิ่งตั้งแต่ห้างเซ็นทรัลเป็นต้นไป ตอนนั้นก็ 16 กิโลแล้ว  พอมีสติอยู่กับการนับก้าววิ่ง ก็ลืมเจ็บไปโดยปริยาย

นับมาได้ 2000 ก้าว ก็ถึงสะพานพระราม 8 ออกแรงตอนขึ้นเล็กน้อย แต่ก็วิ่งลงเนินแบบสบายๆ เข่ายังรับได้อยู่ ไม่ออกอาการเมื่อยล้าแต่อย่างใด วิ่งแซงใครต่อใครบ้างไม่รู้ เพราะตรงนี้มีทั้งนักวิ่งระยะ 5 และ 10 กิโล กลับตัวมารวมกันแล้ว นับมาได้อีก 2000 ก้าวก็ใกล้เส้นชัย เริ่มออกอาการเหนื่อย แต่ก็เป็นธรรมเนียมที่จะเร่งช่วง 500 เมตรสุดท้าย เลยเร่งเท่าที่ได้ เกือบติดจุดที่หยุดนักวิ่งเพื่อให้รถผ่าน ถ้าต้องหยุดและเริ่มเร่งใหม่ตอนนี้ คงจะกระอัก (ขอบอกเลยว่าอย่าหยุดกันอย่างนี้เลยนะคะ) แต่โชคดีว่าเค้าปล่อยนักวิ่งพอดีกับตอนที่เราวิ่งไปถึง เลยสับขาเข้าเส้นชัยแบบเหนื่อยพอประมาณ

ตอนนั้นสมองและร่างกายกระเทือนมานาน เลยงงๆ เบลอๆ หาที่รับเหรียญยังไม่เจอเลย พอมีมือมาดึงเสื้อแล้วเรียก “น้องๆรับป้ายด้วย” ตอนที่ยังงงๆอยู่นั้น พี่คนนั้นก็เอาป้ายมาคล้องคอให้เสร็จสรรพ ก้มมองป้าย พบว่าตัวเองได้ที่ 3 ในช่วงกลุ่มอายุ 30-39 ปีหญิง เย้!

ดีใจไหม? แน่นอน ประหลาดใจไหม? ไม่
เพราะตอนวิ่งเห็นผู้หญิงน้อยมาก และที่นับได้ก่อนเรากลับตัว มีผู้หญิงกลับตัวไปไม่ถึง 10 คน ตอนเรากลับตัวมาแล้ว ก็ยังเห็นมีผู้หญิงประปราย แถมวิ่งมาจนถึงเส้น ยังไม่มีผู้หญิงวิ่งแซงเราไปเลย มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย เพิ่งรู้ว่ามีผู้หญิงมาวิ่งระยะนี้น้อยเหมือนกัน หรือเฉพาะงานนี้ก็ไม่รู้นะคะ

วันนี้จบการวิ่ง 21.16 กิโลเมตร ที่เวลา 2 ชั่วโมง 41 วินาที กับ pace เฉลี่ย 5.42 นาทีต่อกิโลเมตร ประทับใจผู้จัดที่เป๊ะทุกรายละเอียด และประทับใจตัวเอง ทำไปได้ไงเนี่ย!

สรุปงานในวันนี้ ข้อดีของความไม่มั่นใจคือทำให้เราเตรียมตัว วางแผนวิ่ง และพยายามมากขึ้นได้ เมื่อทุกอย่างลงตัว ที่เหลือคือผลที่ไม่คาดคิดได้เสมอค่ะ

ขอให้เพื่อนนักวิ่งได้มีเหตุการณ์น่าประทับใจของตัวเองกันนะคะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: