Explore the Knowledge for Runner
แต่ละคนมาสวนสาธารณะเพื่อวิ่งด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไปนะคะ และคนที่ไม่อยากมาวิ่งก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไปเช่นกันค่ะ อย่างวันนี้ที่เรามาวิ่งงานนี้ เพราะอยากจะพาเพื่อนรู้ใจได้สัมผัสกับบรรยากาศงานวิ่งอีกครั้งหนึ่งด้วยระยะทางอันแสนสั้นช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการออกกำลังกายต่อไปค่ะ วันนี้เราจึงพร้อมเดินสลับวิ่งกันไปกับระยะทาง 2.5 กิโลเมตร หรือ 1 รอบสวนลุมค่ะ
งานวิ่งวันนี้ (9 ก.ค. 60) มีชื่อที่ต้องถามหาเหตุผลกันต่อว่าสื่อถึงอะไร ชื่อนั้นคือ “G Run ยั่ง ยืน” จัดโดยมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทย และช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องมะเร็งจิสต์ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทย โดยรายได้ทั้งหมดจากค่าสมัคร ไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และนำไปบริจาคเพื่อผู้ป่วยมะเร็งต่อไปค่ะ
เราค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งจิสต์ ได้ความมาว่า เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร (GIST – Gastrointestinal Stromal Tumor) เป็นโรคใหม่สำหรับคนไทย เพิ่งเป็นที่รู้จักกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ สามารถพบในเพศชายพอๆกับเพศหญิงค่ะ มะเร็งทางเดินอาหารชนิดนี้พบได้บ่อยที่สุดบริเวณกระเพาะอาหาร 55% รองลงมาพบที่ลำไส้เล็ก 30% และหลอดอาหาร 5% อาจจะพบได้ที่อวัยวะอื่น เช่น ตับ รังไข่ และมดลูก ส่วนการรักษามีหลายวิธี เช่น การผ่าตัด การจี้ด้วยคลื่นความถี่สูง การฉีดสารเข้าไปทำลายเนื้องอกโดยผ่านเส้นเลือดที่มาเลี้ยงเซลล์มะเร็ง และการรักษาโดยวิธีรับประทานยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ได้จำเพาะและตรงเป้าหมาย การป้องกันก็คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด รสจัด ย่อยยาก พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสุรา บุหรี่ ไม่เครียด ซึ่งเป็นวิธีที่ป้องกันได้แทบทุกโรคจริงๆนะคะ เมื่อรู้จักกับมะเร็งจิสต์แล้ว เราก็มาออกวิ่งเพื่อป้องกันมะเร็งกันดีกว่าค่ะ
แม้จะเป็นงานเล็กๆแต่ก็ค่อนข้างสมบูรณ์แบบตามมาตรฐาน shutter running จัด ซึ่งเป็นผู้จัดงานที่อยู่ในวงการมานานนะคะ ทั้งเรื่องการปล่อยตัวที่ตรงเวลา น้ำดื่มที่พอเพียง สถานที่จัดงานกำลังดี การเข้าเส้นชัย การแจกเหรียญ ขาดอย่างเดียวค่ะ อาหารน้อยไปหน่อยค่ะ แต่ก็พออภัยได้เพราะเห็นว่ารายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย และนำไปบริจาคทั้งหมดค่ะ
งานนี้มีวิ่งกัน 2 ระยะ คือ 10 กิโลเมตร วิ่ง 4 รอบสวนลุม และ 2.5 กิโลเมตร วิ่ง 1 รอบสวนลุม เราลงสมัครเป็นระยะหลังค่ะ ตั้งใจวิ่งกับเพื่อนไปด้วยกันค่ะ ระยะ 2.5 กิโลเมตร ปล่อยตัวตอน 6.10 น. ตรงเวลาค่ะ เราก็เดินๆวิ่งๆกันไป คุยกันไปตามประสา ไม่รีบเร่ง ค่อยๆดูร่างกายของเพื่อนกันไป เหนื่อยก็เดิน ไม่เหนื่อยก็วิ่ง เพิ่งสังเกตเมื่อผ่านมาครึ่งรอบสวนลุมว่า ตากล้องเยอะมาก การวิ่งโดยส่วนใหญ่ เลยเกิดขึ้นตอนที่เห็นตากล้องนี่แหละค่ะ
เดินๆวิ่งๆกันมาได้ครึ่งทาง เพื่อนเกิดเจ็บนิ้วเท้าทนไม่ไหว เลยให้นั่งม้านั่งแล้วถอดรองเท้าดู พบการเสียดสีกันระหว่างนิ้วเท้า 2 นิ้ว จนเริ่มเป็นแผล เลยทำให้เกิดอาการปวด ในใจกำลังเสียดายที่ไม่ได้พกพลาสเตอร์ยามาด้วย หาๆในกระเป๋า มีแต่กระดาษทิชชู เลยฉีกออกมาพับเพื่อพันรอบนิ้วแก้ไปก่อน ขณะกำลังสาละวนอยู่นั้น ก็มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง วางกระเป๋าบนม้านั่งข้างเพื่อน พร้อมบอกว่าเอาพลาสเตอร์ไหม พี่มีพกมาด้วย พร้อมหยิบพลาสเตอร์ยาที่ใส่ไว้ในถุงซิปล็อคอย่างดีออกมา ข้างในมีเป็น 10 แผ่น แต่เราขอไว้ 3 แผ่น เผื่อนิ้วอื่นด้วย พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ใจดีหลายๆรอบ มองหน้าพี่ใจดีก็คุ้นๆหน้า คงเคยเห็นๆมาบ้าง เพราะพี่จะสะพายกระเป๋าใบใหญ่เกินกว่าจะวิ่งได้สบายๆไว้ที่หลัง คงเด่นจนเราเคยหยุดมองค่ะ และคงมีข้าวของเตรียมไว้ช่วยเหลือคนไม่เตรียมพร้อมอย่างเรา ความสุขมันไม่ได้อยู่แค่ที่ได้วิ่งนะคะ แต่อยู่ที่การได้ช่วยคนอื่น และได้เป็นคนที่ถูกช่วยอย่างนี้ล่ะค่ะ พอแปะพลาสเตอร์เรียบร้อย ก็ไปเดินกันต่อค่ะ
ระหว่างทางมองหาตากล้องและเตรียมวิ่งไปเรื่อยๆค่ะ วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก เลยสบายๆทั้งเราและเพื่อน คุยกันไปเรื่อยๆ เข้าเส้นชัยรับเหรียญด้วยเวลา 35.35 นาที ความเร็วเรื่อยเปื่อย 12.54 นาทีต่อกิโลเมตร พอเข้าเส้นชัย ถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปวิ่งต่ออีก 5 กิโลเมตรตามที่ตั้งใจไว้ค่ะ
กลับมาอีกทีเพื่อนแลกแซนวิช และรับน้ำเปล่าจากงานมาให้แล้ว ยืดกล้ามเนื้อเสร็จก็ยัดแซนวิชเข้าไปเพราะหิวมาก และก็ได้ค้นพบว่าแซนวิชรสชาติดีมากค่ะ แม้จะมีอาหารแจกน้อยในงานนี้ แต่ก็อิ่มใจมากกว่าอิ่มท้องแล้วค่ะ เพราะนอกจากได้ทำบุญแล้ว ยังได้พาเพื่อนมาวิ่ง ได้รับน้ำใจจากผู้อื่น และตากล้องเยอะมาก รีบไปนอนหารูปจากตากล้องสำนักต่างๆให้เบิกบานใจต่อดีกว่าค่ะ
สรุปแล้วสาเหตุของการเข้าร่วมงานวิ่งจริงๆแล้วตอนนี้เราเองก็หาไม่ได้ค่ะ คงไม่ใช่แค่เรื่องของการออกกำลังกายอย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้รู้แต่ว่าเราทำแล้วมีความสุข ได้ตื่นเช้า ได้สุขภาพแข็งแรง ได้พาคนอื่นสุขภาพดีไปด้วย มาถึงจุดนี้ได้ เราว่ามันมากกว่าการออกกำลังกายซะอีกค่ะ แต่มันคือวิถีชีวิตของเราไปแล้วล่ะค่ะ เป็นวิถีชีวิตที่สบายๆ เต็มใจทำ ไม่ต้องมีการบีบบังคับอีกต่อไปแล้วค่ะ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีวันวิ่งฟินๆแบบนี้เป็นวิถีชีวิตของตัวเองกันบ้างนะคะ
Recent Comments