Explore the Knowledge for Runner
วันนี้ไปออกวิ่งให้กับเต่าทะเลกับงานวิ่งที่ชื่อว่า MBK-G Run III for sea turtles งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์เต่าทะเลไทยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นเงินทุนตั้งต้นในการสร้าง Revenue Model ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นคงในการอนุรักษ์เต่าทะเลอย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์สวยๆแบบนี้ ก็ต้องอยากไปน่ะสิคะ แถมวิ่งในสวนลุมซะอีก สนามโปรดปรานซะด้วย ไม่ต้องหลบรถ โดนรถด่าอยู่ข้างนอก พร้อมเหรียญสวยน่าครอบครอง แม้อาจจะแพงไปนิด แต่ก็ยอม แรกๆสมัครไม่ทัน แต่พอดีคนรู้จักเกิดเจ็บเท้าก่อน เลยทำให้มีโอกาสได้ไปวิ่งแทนในวินาทีเกือบสุดท้าย เมื่อเสื้อและบิบพร้อมก็เตรียมลุยเลยค่ะ
งานนี้จัดบริเวณลานตะวันยิ้มในสวนลุมพินี เป็นงานเล็กๆอบอุ่น แม้บริเวณงานจะเล็กไปนิด แต่ระบบจัดการโดยรวมดีนะคะ ทั้งการนำอบอุ่นร่างกาย การปล่อยตัวที่ตรงเวลา มีคูปองอาหารให้ไปแลกอาหาร ซุ้มอาหารมีป้ายชัดเจน อาจเพราะมีคนมาวิ่งน้อยด้วย ดูๆรวมๆก็ไม่ถึง 1,200 คนตามจำนวนสมัคร เสียแต่เวทีจัดกลางทางวิ่งไปหน่อย เหลือทางวิ่งให้นักวิ่งที่มาวิ่งในสวนลุมแค่นิดเดียว แย่กว่านั้นนักวิ่งเองยังไปยืนออปิดทางวิ่งซะอีก แต่ก็ยังดีที่พิธีกรชายได้พยายามประกาศบอกให้ให้ทางกันบ้าง การจัดงานในสวนอาจต้องพิจารณาเรื่องพื้นที่ว่าไม่ให้รบกวนผู้มาใช้สวนคนอื่นมากนัก ก็จะดีนะคะ
อีกจุดหนึ่งที่งงมากก็คือ ไม่มี check point ทั้งที่ประกาศว่า จะได้รับ wrist band รอบละสี แต่ถึงเวลาจริง มีแต่เจ้าหน้าที่มายืนออๆกันแล้วจดๆเลขมั้งคะ ถึงแม้ว่าจะมีรางวัลให้แค่ที่ 1-3 ของชายและหญิงตามที่บอกตอนแรก แต่ก็ไม่ควรละทิ้งสิ่งที่จะเป็นมาตรฐานของงานวิ่ง แล้วคนที่ได้ที่ 1-3 นั้น ใครจะยืนยันได้ว่าใช่จริง แต่ที่งงไปกว่านั้นคือ พอถามเจ้าหน้าที่ว่าไม่มี check point เหรอคะ เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่มี นับ 20 อันดับแรกค่ะ เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่เลยว่า ตกลงแล้วยังไง เปลี่ยนของรางวัลหรืออะไร จัดงานในสวนแล้ว ลดภาระการปิดถนนไปเยอะแล้ว ควรใส่ใจในรายละเอียดของงานแทน ราคาไม่ถูก อย่าง่ายจนเกินไป แบบยังไงก็ได้ นักวิ่งไม่ว่าหรอก อย่างนี้ไม่ได้นะคะ แม้เราจะไม่หวังรางวัล แต่ก็ยังหวังจะได้เจอมาตรฐานการจัดงานวิ่งที่ดีนะคะ
เอาล่ะมาถึงผลงานการวิ่งกันบ้าง เรียกได้ว่าทุลักทุเล เพราะเพิ่งจบจากงานวิ่งฮาล์ฟที่ปล่อยแรงเต็มที่ 100% มาจากสัปดาห์ที่แล้ว เลยทำให้รู้สึกว่าขายังเพลีย ชนิดที่ว่าไม่อยากจะยกขึ้นเลย ขนาดตั้งใจวอร์มเป็นอย่างดี เข่าซ้ายที่เจ็บจากงานวิ่งฮาล์ฟเขาใหญ่นั้นหายเกือบหมด ไม่แสดงอาการเจ็บ แค่ตึงๆเล็กน้อย แต่ก่อนวิ่งกลับมาเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังแทน พอเข้ารอบที่ 4 หรือประมาณกิโลเมตรที่ 7-8 ก็เริ่มเจ็บเข่าขวา ทำให้ต้องวิ่งช้าลง และเข้าเส้นชัยได้ด้วยเวลา 59.41 นาที และ Pace 5.42 นาทีต่อกิโลเมตร แม้จะเร็วกว่าที่คิด แต่ไม่คุ้มค่ะ เพราะหลังวิ่งเจ็บด้านนอกเข่าขวามากจนงอเข่าไม่ได้ เคยมีอาการอย่างนี้ที่เข่าซ้ายมาแล้ว จึงรีบยืดเหยียดกล้ามเนื้อ นวดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง อาการจึงดีขึ้น แต่ยังมีขัดตอนเดินอยู่บ้าง
อากาศวันนี้ออกจะอบอ้าวและร้อน อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ความชื้นอยู่ที่ 83% เล่นเอาเหงื่อออกเป็นถังๆทีเดียว แต่คงไม่เป็นอุปสรรคเท่ากับอาการเจ็บเข่าค่ะ
อาการปวดที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน ถ้าเพื่อนๆได้เจอแล้ว อยากให้เพื่อนๆลองประเมินความรุนแรงดู ถ้ามันมีนิดๆ พอจะวิ่งต่อได้แค่รู้สึกว่ารบกวน และถ้าวิ่งไปนานๆแล้วไม่ปวดมากขึ้น ก็สันนิษฐานได้ว่า ไม่เป็นอะไรมาก บางครั้งวิ่งไปเรื่อยๆอาการปวดก็หายไปเอง อาจเป็นแค่ความไม่สบายกายในช่วงแรกที่เริ่มมีการขยับเขยื้อนตัว แต่ถ้าอาการเจ็บมีนิดๆ และค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่วิ่ง และถ้าเป็นมากจนรบกวนฟอร์มการวิ่งเข้าไปอีก เจ็บแบบนี้ น่าจะมาก เพื่อนๆอาจต้องตัดสินใจว่าจะหยุดหรือจะไปต่อ จริงๆแล้วก็แนะนำให้หยุดนะคะ การหยุดในที่นี่ จะเป็นการหยุดเพื่อไปต่อได้ในครั้งหน้า แต่ถ้าเพื่อนๆดื้อจะวิ่งต่อ นอกจากอาจจะทำให้ผลการแข่งขันไม่สวยแล้ว ชีวิตการวิ่งอาจจะไม่สวยอีกเลยก็ได้ เพราะการเจ็บปวดนั้น อาจทำให้เพื่อนๆไม่สามารถวิ่งได้อีกเลย อาการปวดคือสัญญาณเตือนจากร่างกายตัวเอง ดังนั้น ฟังร่างกายตัวเองนี่ล่ะค่ะ ที่ดีที่สุดแล้ว
อย่าลืมนะคะ อาการปวดน่ะ มันมาแค่ชั่วคราว หยุดพัก รักษา ฝึกซ้อมดีๆเดี๋ยวก็หาย แต่การที่ต้องยอมแพ้เพราะอาการปวดที่ไม่หายนี่สิคะ อาจจะต้องยอมแพ้ตลอดไปก็ได้นะคะ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งไม่มีอาการเจ็บปวดระหว่างวิ่งกันนะคะ
11 Mar 17
Recent Comments