Explore the Knowledge for Runner
ในวันที่อากาศไม่เป็นใจ วันที่ร่างกายไม่เป็นใจ วันที่จิตใจไม่เป็นใจ ก็ทำให้ไม่อยากจะทำอะไรสักอย่าง อย่างวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทำงานเยอะมา 2 วันติด แถมอาการแพ้อากาศกำเริบ เวลานอนไม่พอ ตื่นมาตอนเช้าแม้ฝนเพิ่งหยุดตกไม่นาน แต่อากาศร้อนอบอ้าวอย่าบอกใคร
ดีที่ลงสมัครงานวิ่งเอาไว้ ด้วยความตั้งใจว่าเราอยากจะไปตั้งแต่ต้นเดือน เลยยอมขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงตอนตี่สี่ครึ่ง เมื่อวานไม่ได้ไปรับบิบและเสื้อไว้ วันนี้ (20 ส.ค.60) จึงไปก่อนเวลาเล็กน้อยเผื่อเวลารับเสื้อและบิบค่ะ
วันนี้ลงสมัครงานวิ่งชื่อว่า School Supply Drive Fun Run ที่สวนรถไฟ จัดโดย Adventist Youth Association และ Seventh Day Adventist ร่วมกับทีมจัด Run Around Thailand รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายการจัดงานจะมอบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอาหารและอุปกรณ์การศึกษาในโรงเรียนที่ห่างไกล และมอบให้กับมูลนิธิ SafeHaven เพื่อเด็กกำพร้าที่บ้านท่ายาง จังหวัดตาก และโรงเรียนที่ยากจนในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ทาง Adventist Youth Association และ Seventh Day Adventist ได้ไปร่วมบริจาคและทำกิจกรรมการกุศลเป็นประจำทุกปี คือไหนๆก็ต้องออกมาซ้อมวิ่งแล้ว เราเลยลงงานวิ่งช่วยเด็กไปด้วยเลยค่ะ
วันนี้ต้องวิ่งซ้อมระยะ 12.9 กิโลเมตร เลยลงวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรเอาไว้ คือต้องวิ่งรอบสวนรถไฟ 4 รอบ เมื่อรับเสื้อและบิบแล้ว เราก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อ ออกมาวอร์มอัพ เตรียมวิ่งค่ะ
งานนี้ดูจัดง่ายมาก จนดูง่ายเกินไปค่ะ จุดปล่อยตัวเป็นโค้งประตูพลาสติกที่มีป้ายงานห้อยเล็กนิดเดียว เวทีเล็ก แต่ยังดีที่ป้ายงานใหญ่ออกแบบได้น่ารักอยู่ข้างหลัง มีเต๊นท์อยู่สองข้างเวที มีเจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่ แต่ไม่มีป้ายบอกว่าเป็นเต๊นท์อะไร เท่านั้นไม่พอค่ะ นำวอร์มโดยคนไม่ชำนาญ โต๊ะให้น้ำมีจุดเดียวตอนใกล้เส้นชัย วิ่งไป 4 รอบ เข้าเส้นชัยมา คนยืนขวางทางเข้าเส้นชัยมิดเพื่อถ่ายรูป ไม่มีเจ้าหน้าที่กันสักนิด เราดื่มน้ำ แล้วไปรับอาหาร ได้ขนมเค้กชิ้นเล็กๆ หยิบได้เอง เลยเอามา 2 ชิ้น กับขนมเวเฟอร์ชีสอะไรสักอย่าง ซึ่งเราไม่หยิบทาน มันไม่ใช่อาหารสำหรับนักวิ่งที่วิ่งมา 10 กิโลเมตรเลยสักนิดค่ะ หยิบขนมมาไม่ทันไร พิธีกรประกาศปิดงานซะแล้ว เรามองออกไปรอบๆสวน ยังมีนักวิ่งวิ่งอยู่เลย ปิดงานหนีนักวิ่งซะแล้ว เวลาตอนนั้นประมาณ 7.20น. เองค่ะ คิดว่าผู้จัดคงอยากจะรีบกลับบ้านไปสังสรรค์กับครอบครัวต่อค่ะ
บรรยากาศงานเหมือนวันสังสรรค์ครอบครัวของผู้จัดจริงๆนะคะ เดินคุย ขวางทาง ตะโกนใส่ไมค์ให้มาถ่ายรูปกัน ไม่รู้จักมารยาทส่วนรวมอย่างยิ่ง เล่นเอาเรารีบวิ่งให้จบ หนีไปแทบไม่ทันค่ะ อีกเรื่องคือ เพิ่งมารู้ตอนหลังว่า ทางผู้จัดประกาศลดจาก 10 กิโลเมตรเป็น 7.5 กิโลเมตร คือให้ วิ่งแค่ 3 รอบก็พอ นี่งงมากค่ะ คิดในใจว่า มีอย่างนี้ด้วย!! อยากลดก็ลด ไม่ต้องสนใจใคร มีนักวิ่งหลายคน (รวมเราด้วย) ที่ไม่รู้ ว่าไปประกาศกันตอนไหน แต่น่าจะเป็นที่หน้างาน ก็ยังวิ่งครบ 4 รอบ มิน่าล่ะ เข้าเส้นชัยแล้วถูกมองเป็นตัวประหลาดอย่างยิ่งค่ะ
เราคิดว่าที่งานแย่ๆอย่างนี้ คงไม่น่าเกี่ยวกับ Organizer อย่างเดียว เพราะเพิ่งไปงานที่จัดโดยทีมเดียวกันมา งานแมวที่สวนลุม น่ารัก สนุกสนาน บรรยากาศคึกคัก มีธีมงานชัดเจน ใส่ใจนักวิ่ง อาหารโอเค แต่นี่คืออะไรที่ไม่มีความใส่ใจนักวิ่งสักนิด คราวหลังอยากหาเงินไปช่วยเด็ก ขอโอนเงินให้โดยตรงนะคะ ไม่ต้องจัดงานวิ่งค่ะ หาก Organizer จะมีส่วนรับผิดชอบบ้าง ก็คงจะต้องเป็นเรื่องที่ควรแจ้งให้องค์กรที่ต้องการจัดงานทราบถึงมาตรฐานการจัดงานวิ่งที่จัดยังไงไม่ให้นักวิ่งเสียความรู้สึกนะคะ หากเห็นว่าผู้จัดดูไม่เวิร์ก ก็ตีตัวออกห่างเถอะค่ะ เสียชื่อเราเปล่าๆค่ะ เราว่านะคะ หากจะใช้งานวิ่งเพื่อหาเงิน ควรจัดเพื่อนักวิ่งค่ะ
อดคิดไม่ได้นะคะว่า นี่เหรอ ที่จัดโดยองค์กรการกุศล ไม่มีใจคิดถึงนักวิ่งเลยสักนิดค่ะ งานนี้ถือว่าแพงมาก หากเทียบกับความใส่ใจที่ได้รับจากผู้จัดค่ะ ผิดหวังสุดๆ
วิจารณ์ไปเพื่อการแก้ไขกันต่อไปนะคะ เพราะเราเองมีภารกิจต่อค่ะ พอเราเอาเป้น้ำที่ฝากไว้ได้ จัดแจงเก็บของก็ออกวิ่งต่อละค่ะ ทิ้งของฝากไว้ กลัวเค้าปิดงานหนีหมดจะแย่ เก็บระยะต่ออีก 3 กิโลเมตร ก็เป็นอันจบการซ้อมวันนี้ค่ะ
จบระยะ 13.02 กิโลเมตร ด้วยเวลา 1.22.04 ชั่วโมง กับความเร็ว 6.18 นาทีต่อกิโลเมตรค่ะ ความชื้น 91% ไม่แปลกใจเลย ที่เหงื่อจะออกมาเป็นถังๆค่ะ
เล่ามาทั้งหมดยังไม่เกี่ยวกับหัวข้อเลยใช่ไหมคะ กำลังจะเกี่ยวแล้วค่ะ อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกว่าวันนี้อะไรๆในร่างกายเราไม่เป็นใจ อากาศก็ไม่เป็นใจ มาเจองานวิ่งแย่ๆก็ไม่เป็นใจอีก ขามันเลยอยากจะหยุดก้าวไปซะดื้อๆค่ะ อย่าเรียกว่าหยุดอย่างเดียวเลย เรียกว่าอยากลงนั่งยองๆ แล้วแผ่นอนเลยดีกว่า ณ จุดนั้น เราจะทำยังไงได้ล่ะค่ะ นอกจากต้องเลือกว่าจะเอายังไงค่ะถามร่างกายตัวเองค่ะว่าวันนี้ไม่ไหวตรงไหน คำตอบคือขาล้าค่ะ ทั้งที่ไม่ได้วิ่งเร็วไปกว่าเดิม แถมไม่ได้ออกกำลังมา 2 วันแล้ว น่าจะมีแรง เลยคิดว่าน่าจะล้าจากทานกล้วยเผื่อมาไม่พอมากกว่าค่ะ ถามร่างกายต่อว่า ไปจนจบไหวไหม ตอนนั้นก็แค่ 5 กิโลเมตรเองร่างกายมันก็ตอบนะคะว่าไหว เพราะไอ้ 10 กิโลเมตรนี้เราวิ่งแบบสบายๆมานานแล้วค่ะ เลยคิดถึงเป้าหมายที่ทำให้เราต้องมาวิ่งวันนี้นั่นคือ มาราธอนค่ะ เลยลองคิดเล่นๆค่ะว่า ถ้าอาการล้าตอนนี้ คืออาการล้าที่กิโลเมตร 35 แล้วเราจะหยุดเหรอแต่เราเลือกที่จะเรียนรู้อาการนี้ แล้วตามดูแลมันอย่างใกล้ชิดระหว่างทาง ถ้าไม่ไหวก็เดิน ถ้าไหวค่อยไปต่อ ใช้ความมุ่งมั่น และความอดทนเป็นตัวนำทางค่ะ ฝึกร่างกายให้ชินกับความรู้สึกนี้ไว้ค่ะ แล้วเมื่อถึงวันที่ต้องใช้มันจริงๆ ทั้งร่างกายและใจที่พร้อม จะนำพาเราไปสู่เส้นชัยเองค่ะ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีหัวใจที่จะไม่หยุดวิ่งกันนะคะ
Recent Comments