Explore the Knowledge for Runner
วันนี้มีงานวิ่งอีก 1 งานกับการซ้อมวิ่งยาวระยะ 28.8 กิโลเมตรนี่ ออกแนวน่ากลัวกับใจ แต่เมื่อทำได้แล้ว ก็จะสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้นกับฟูลมาราธอนอีกนิดนึงค่ะ แต่เนื่องจากไม่มีงานวิ่งไหนในกรุงเทพจัดงานระยะทางนี้ จึงต้องลงระยะฮาล์ฟและวิ่งต่อเอาเองจนครบค่ะ
เราเลือกงาน Fit Your Bone ค่ะ เพราะวิ่งที่สะพานพระราม 8 ตรงไปกลับตัว ตรงกลับมาก็ถึง แบบสบายๆไม่ต้องหลบรถหลบมลภาวะ และมีสวนใต้สะพานให้เราไปวิ่งต่อระยะได้อีก แถมงานนี้เราเคยเข้าร่วมเมื่อเค้าจัดครั้งแรก 2 ปีที่แล้วก็จัดได้ดี เสียดายไม่ได้วิ่งเส้นทางเดิมเหมือนปีแรก แต่ก็เข้าใจในสถานการณ์ได้ดีค่ะ
ทุกวันนี้ งานวิ่งที่สะพานพระราม 8 จะปล่อยตัวเร็วมากค่ะ เพื่อเหตุผลดีๆหลายๆอย่าง และครั้งนี้ฮาล์ฟก็ปล่อยตัวตอน 4.15 น. เรียกว่ายังไม่ทันเข้านอนดีก็ต้องตื่นซะแล้ว เช้ามาก แต่ข้อดีคือ ได้ซ้อมการวิ่งกลางคืน เพราะงานฟูลมาราธอนที่จะไปวิ่งปล่อยตัวเช้ากว่านี้มาก คือ 3.30 น. ค่ะ งานนี้เลยบ่นไม่ได้ว่าเช้าจริง แถมระยะฮาล์ฟวันนี้มี Cut off time อยู่ที่ 3.30 ชั่วโมงค่ะ ส่วนตัวมั่นใจว่าถึงก่อนแน่นอน ตั้งเป้าว่าไม่เกิน 2.30 ชั่วโมง และวิ่งต่ออีกสัก 1 ชั่วโมงก็น่าจะครบระยะค่ะ
การเตรียมตัวสำหรับวันวิ่งยาวพร้อมแล้ว เตรียมชุด เตรียมข้าว เตรียมตั้งปลุก เข้านอนตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ตื่นตีสองครึ่ง ทานข้าวกระเพรา 1 ชามอิ่ม เตรียมกล้วยตากแพคใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ 3 แพค เผื่อหิว เผื่อที่งานจะไม่มีให้ทาน คราวที่แล้วทานเจลแล้วท้องเสียมากมาย เลยต้องหยุดทานไปโดยปริยาย ออกจากบ้านตีสาม ถึงงาน ตีสามสี่สิบห้า เดินข้ามสะพานไปเป็นการวอร์มอัพ ฝากของยืดเส้นยืดสายดื่มน้ำ เตรียมร่างกายให้พร้อม เพื่อการปล่อยตัวที่ตรงเวลาค่ะ
เดี๋ยวนี้งานที่สะพานพระราม 8 ปล่อยตัวกันบนสะพานเลยค่ะ ลดปัญหาตอนปล่อยตัวข้างล่างที่ต้องวิ่งกลับตัวขึ้นสะพาน ทางแคบเป็นคอขวด แถมตอนกลับต้องวิ่งกลับตัวกันอีกรอบ คราวนี้ปล่อยตัวข้างบน วิ่งตรง วิ่งยาวกันให้สบายใจ
งานนี้ตั้งความหนักอยู่ที่ 60% ของความพยายามสูงสุด วิ่งไปเรื่อยๆรักษาความเร็วที่เคยทำได้สม่ำเสมอคือ 6.30 นาทีต่อกิโลเมตร ตั้งใจว่าอย่างน้อยในระยะฮาล์ฟนี้ จะไม่เดิน อันนี้เป็นความสามารถเดิมอยู่แล้ว เดินตอนหยุดดื่มน้ำนิดหน่อยเท่านั้น และถ้าจะเดิน ก็เอาไว้ตอนท้ายๆที่วิ่งเพิ่มระยะแล้วไม่ไหวเอา
ปรากฎว่าที่กิโลเมตรที่ 5-6 เกิดมีอาการจุกเสียดแน่นที่ลิ้นปี่ขึ้นมา แรกๆก็คิดแค่ว่า เราวิ่งเร็วไปหรือกระแทกไปหรือเปล่า ทำให้อาหารที่ทานเข้าไปมันเกิดย่อยไม่ดี แต่จริงๆทุกครั้งที่วิ่งระยะฮาล์ฟขึ้นไป เราทานข้าว 1 จานก่อนวิ่ง อย่างน้อย 1 ชั่วโมงอยู่แล้ว จึงค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมคราวนี้เกิดจุกแน่น เราทนวิ่งไปจนถึงกิโลเมตรที่ 10 และอาการก็ค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่วิ่ง พอกลับตัวมาจึงต้องหยุดเดิน ระหว่างนั้นก็มีลมตีขึ้นมาเรื่อยๆ ใครเห็นคนเดินหัวตกอยู่ชิดเกาะกลางถนนทางซ้าย เรอไปตลอดทางที่เดิน เอามือกดนวดตรงลิ้นปี่ ก็คงรู้ได้เลยว่าเป็นเรา
เดินไปๆกะว่าพอไม่มีแรงกระแทกแล้วคงจะดีขึ้น ก็เป็นจริงตามนั้น อาการปวดจุกแน่นเริ่มน้อยลง ระหว่างเดินนี้ ก็มีพี่ผู้หญิงคนนึง วิ่งมาแตะแขนขวาเบาๆ พร้อมบอกว่า ทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ประมาณนี้ แล้วก็ชวนเราวิ่งไปด้วยกัน แต่พอนึกถึงสภาพตัวเองแล้วก็คงจะเริ่มวิ่งต่อไม่ไหว จึงปฏิเสธพี่เค้าไปแบบเกรงใจจริงๆ ตอนนั้นอยากเดินต่ออีกหน่อยนึง ได้แต่ขอบคุณพี่ใจดีกลับไป แต่กำลังใจก็มากขึ้นมาอีกพอควรค่ะ
เราเดินไปได้เกือบกิโลค่ะ ก็ออกวิ่งเหยาะๆต่อ แปลกใจเหมือนกันที่อาการปวดท้อง ทำให้ขาหมดแรงได้ขนาดนี้เลย ตั้งแต่กิโลที่ 12 จน 21 เรียกว่าทั้งวิ่งทั้งเดินสลับกันไปค่ะ ช่วงท้ายๆเหมือนลมในกระเพาะมันดีขึ้น แต่มาครืดคราดและปวดเสียดในท้องบริเวณสะดือแทน แต่ไม่มากเท่าไร จึงประคองตัวจนจบได้ เข้าเส้นชัยมาแบบต้องฝ่าคนที่ยืนออกถ่ายรูปกันที่เส้นชัย จนเกือบชนผู้ชายคนหนึ่งที่คุยกับเพื่อนแล้วถอยหลังมาไม่ได้มอง จึงจำเป็นต้องออกแรงผลักไปค่ะ หวังว่าคงไม่เจ็บมาก ได้แต่บอกเจ้าหน้าที่ว่า ช่วยกันคนออกไปหน่อย ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ ตั้งหน้าตั้งตามอบเหรียญและบัฟใส่มือมาให้
ความตั้งใจแรกคิดว่าจะลงไปวิ่งต่อที่สวน แต่เห็นปริมาณนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยมาแล้วไปยืนออตรงทางลงบันได เลยตั้งใจจะไปวิ่งสุดปลายสะพานที่ตำรวจยังกันถนนไว้อยู่ เผอิญเจอลูกศิษย์เลยได้หยุดถ่ายรูปเล็กน้อย หันไปอีกทีคนเริ่มซา เลยเดินลงบันไดมา กะว่าหาอะไรทานรองท้อง เห็นจากมุมสูงว่ามีนักวิ่งต่อคิวซุ้มอาหารที่มีประมาณ 4 ซุ้ม แถวละไม่ตำ่กว่า 200 คน จึงถอดใจไม่รอ เอากล้วยตากยัดเข้าปากไป เดินไปเอาน้ำแล้วออกวิ่งๆเดินสลับในสวนจนครบระยะค่ะ
กะว่าคนน้อยแล้ว ออกมารับ Gift set ที่ใส่ถุงเรียบร้อย แจกนม แจกหนังสือให้ความรู้ เดินๆรับของแจกที่ซุ้มบางซุ้มที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อย กะเดินไปรับของกิน แถวก็ยังยาวเหยียดอยู่ ตัดใจเดินไปรับกล้วยลูกนึง และแตงโมซีกนึงมาทาน แล้วกลับบ้านค่ะ
ข้อเสียของงานนี้มีอย่างเดียวที่ชัดเจนคือเรื่องอาหารค่ะ คนหลายพันคน มีซุ้มอาหารแค่ 4 ซุ้ม และทำสด แบบว่า ข้าวไข่เจียว ก็ยืนทอดไข่มันตรงนั้น ทราบเจตนาว่าคงอยากให้ทานของอร่อยสดใหม่ แต่ว่ามันไม่ทันจำนวนคนที่มีค่ะ ถ้าอยากทำสด น่าจะกระจายหลายซุ้ม ไม่งั้นก็ต้องเปลี่ยนอาหารมาเป็นแบบที่แจกได้เลยจะดีกว่าค่ะ หรือไม่ก็ทำซุ้มแยกตามระยะวิ่งค่ะ กระจายนักวิ่งกันไป พื้นที่ยังมีอีกมากค่ะ
สรุปวันนี้จบระยะไปเพียง 28.32 กิโลเมตรด้วยขาที่ล้ามากๆ กับเวลา 3.46.40 ชั่วโมง กับความเร็ว 8 นาทีต่อกิโลเมตรค่ะ แต่ถ้าดูสถิติของฮาร์ฟก็คือ จบ 21.1 กิโลเมตรด้วยเวลา 2.42.35 ชั่วโมง กับความเร็ว 7.29 นาทีต่อกิโลเมตร ได้ลำดับที่ 520 จากคนลงวิ่งฮาล์ฟทั้งหมด 1,021 คน และถ้าดูเฉพาะผู้หญิงที่ลงฮาล์ฟ 263 คน เราได้ที่ 90 และถ้าดูในกลุ่มอายุ 15-39 ปี เราได้ที่ 51 จาก 159 คน ก็ยังถือว่าไม่เลวนะคะ จริงๆแล้วแอบดีใจกับระยะเวลาที่ใช้เกือบ 4 ชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะตอนเริ่มเข้าโปรแกรมซ้อมมาราธอนเมื่อ 4 เดือนก่อน ยังคิดอยู่เลย ว่าจะวิ่งยังไงตั้ง 4-5 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้ มันก็ทำได้นี่หว่า
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การวิ่งในวันนี้สอนเราให้รู้จักความอดทนกับการดูร่างกายตัวเองจริงๆ ต้องคอยถามตัวเองตลอดว่า ไหวหรือไม่ คอยเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าทนจนไม่ไหว เพราะมันจะเดือดร้อนคนอื่น ในเวลานั้น เราไม่คิดถามหาเวลาที่หายไปแล้ว ใช้เวลาเท่าไรไม่ว่า ขอให้ถึงระยะที่ตั้งใจไว้ แต่เราถามหาแรงที่ร่างกายมีในตอนนั้น ว่าเป็นอย่างไร พอไปได้หรือไม่ และคำตอบที่ได้ หากไม่เป็นการโกหกตัวเอง มันก็คือความจริงที่ร่างกายบอกเราเอง ว่าไหวหรือไม่ไหว วันนี้เป็นอีกวันที่เราได้เรียนรู้ความเมื่อยล้าทั้งของทั้งร่างกายและใจ เมื่อเราทำได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งร่างกายและใจเราก็จะเข้มแข็งขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีพลังใจที่เข้มแข็งในการถามหาสิ่งที่เรามีอยู่ในร่างกายกันนะคะ
Recent Comments