การไม่ยอมแพ้ในสนาม ในยามที่ร่างกายยังไหวอยู่ คือความเข้มแข็งที่ยิ่งใหญ่

อะไรคือการสตาร์ทรถแล้วขับออกไปต่างจังหวัด เพื่อเข้าที่พัก รีบทาน รีบนอนพัก และรอพบกับถนนเนินขึ้นลงเขา ระยะทาง 21 กิโลเมตร ในเวลา 5.45 น. วิ่งบนทางนั้นนานถึง 2 ชั่วโมง เพียงเพื่อจะได้ยิ้มและอิ่มใจในช่วงที่ขากำลังก้าวข้ามเส้นชัย แล้วจึงทานข้าวเช้า อาบน้ำ ขับรถกลับบ้าน แล้วนอนพัก

ใครหลายคนที่ไม่ได้วิ่ง จะยังคงมีคำถามเสมอว่าจะทำไปทำไม บางทีตัวเราเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเลย เวลาให้ทำอะไรอย่างอื่น เช่น ช้อปปิ้ง จ่ายตลาด ทานอาหารรสเลิศ ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไร ช้อปไปสัก 1 ชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยกว่าวิ่ง 10 กิโลเมตรอีก ยิ่งเจอแย่งกันตอนลดราคานี่ รู้สึกเหมือนไปออกรบเลยทีเดียว อาจเพราะฮอร์โมนเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละคนส่งผลต่อความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไป

สนามเขาใหญ่ฮาล์ฟมาราธอน เป็นอีก 1 สนามที่เราอยากจะไปลงวิ่งอีกสักรอบ อยากจะรู้ว่าจะทำเวลาได้ดีขึ้นหรือไม่ ครั้งที่แล้วได้ซ้อมมาเต็มที่ ยังรู้สึกว่าย่ำแย่ เพราะเจอเนินตรงจุดกลับตัว 10.5 กิโลเมตรแบบไม่รู้สนามมาก่อน ทำให้วิ่งอย่างไม่มีความสุขสักเท่าไร เพราะหมดแรงที่ 10.5 กิโลเมตรนั่นแหละ พอถึงเวลาของปีนี้ ตั้งใจซ้อมเช่นกัน และซ้อมขึ้นลงเนินด้วย คิดว่ารู้สนามก่อนจะทำให้เรากะแรงได้ ได้ซ้อมมา 8 สัปดาห์ แต่สัปดาห์สุดท้ายไปเที่ยวอยู่ญี่ปุ่น ไม่ได้วิ่งเลย มีแต่เดินเที่ยวเท่านั้น เลยถือว่าเป็นการพักก่อนแข่ง

กลับมาก็ขับรถไปเขาใหญ่เลย ยืดๆเหยียดๆ วิ่งเหยาะๆให้เลือดไหลเวียน และรอดูว่าผลจากการซ้อมทั้งหมดที่ผ่านมาจะออกมาเป็นอย่างไร ระหว่างนี้ก็คิดวางแผน (ชอบวางแผน แต่ทำไม่ค่อยได้ตามแผน แหะ แหะ) ว่าจากจุดปล่อยตัวจะเป็นทางวิ่งลงเขายาว 3 กิโลเมตร จะปล่อยเร็วเล็กน้อย เก็บแรงไว้ขึ้นเนินช่วง 7.5 กิโลเมตรหลัง ให้วิ่งตามความรู้สึกหนักพอทนได้ และพอกลับตัว จะเป็นช่วงลงเขาใหม่อีกรอบ ก็ควรถนอมแรงไว้ ค่อยๆปล่อยตัวลงมา เพราะจริงๆแล้ว วิ่งลงเขานี่ กินแรงกว่าวิ่งขึ้นเขามาก กินแรงกล้ามเนื้อหน้าขา เพราะต้องหดตัวแบบค่อยๆยืดยาวออก ซึ่งทำให้ขาล้าง่ายมาก ดังนั้น คงต้องไปดูกันว่าจะเหลือแรงให้วิ่งขึ้นเนินช่วง 3 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยอีกสักเท่าไร วางแผนยืดยาว มาดูกันว่าทำได้ไหม

หลังจากไปรับบิบแล้ว ก็รีบกลับมานอนพักผ่อนและเตรียมข้าวของให้พร้อมแล้ว ตื่นมาก็จะได้ไม่ลืมโน่นนี่ค่ะ งานนี้ดีนะคะ ให้ถุงผ้ากับกล้วยตากมาพกด้วย

และแล้ว ก็ถึงเวลาปล่อยตัวค่ะ ไปเลยค่า วิ่งตามแผน แต่มาหมดแรงที่กิโลเมตรที่ 15-16 แบบว่าก็ออมๆแรงไว้แต่ต้นนะเนี่ย วันนี้ตั้งใจวิ่งตามความรู้สึก หรืออาจเพราะเพลียจากการเที่ยวมา หรืออาจเพราะคึกแบบอยู่ในงานวิ่ง เลยตกเป็นทาสของความคึกไปโดยปริยาย กว่าจะประคับประคองตัวเข้าเส้นชัยได้ ก็เล่นเอาหมดทั้งแรงหมดทั้งใจเอาซะดื้อๆ ยิ่งเจอแดดร้อนๆตอนกลับตัวมาแล้ว แทบอยากจะหยุดเดินไปเลย เลยได้เหตุผลหยุดถ่ายรูปที่จุดกลับตัว และระหว่างทางวิ่งลงเนินจากจุดกลับตัว วิวสวยดีค่ะ

สรุปแล้วมาดูผลการวิ่งวันนี้กัน พบว่า เราจบ 21 กิโลเมตรไปด้วยเวลา 2:07:56 ชั่วโมง เลยได้ความเร็ว 6.05 นาทีต่อกิโลเมตร เราก็ว่าทำเวลาได้ดีพอใช้แล้ว เลยไปรื้อดูสถิติเดิม เมื่อปีที่แล้ว ก็ตกใจค่ะ เพราะได้เวลาประมาณเดียวกันเลยค่ะ คือ 2:07:25 ชั่วโมง ห่างกันเพียงแค่ 31 วินาทีเท่านั้น โอ้แม่เจ้า!! ไม่ได้ดีขึ้นเลยค่า แต่ก็ยังงั้นแหละค่ะ ตัวเลขไม่สำคัญเท่าความสุขจากการได้วิ่ง และความรู้สึกสะใจเวลาเข้าเส้นชัยแล้ว ได้รับรู้ว่าตัวเองไม่ยอมหยุดวิ่งและยอมแพ้ในตอนที่หมดแรง เราควรจะได้ฝึกฝนจิตใจให้ไม่ยอมแพ้ในช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการเป็นที่สุดกันนะคะ

ต่อไปก็มาดูพวกตัวเลขกันดีกว่า ไม่ค่อยน่าชมเท่าไรในเรื่องของร่างกาย แต่ก็น่าชมสำหรับลำดับการแข่งขันที่ได้ มาดูอะไรก่อนดีน้า

มาดูตัวเลขของร่างกายดีกว่าค่ะ ผลปรากฎว่าวิ่งเร็วสุด 4:30 นาทีต่อกิโลเมตร จากกราฟก็เร็วช่วงแรกตามที่วางแผนไว้

ส่วนหัวใจไม่ต้องพูดถึงเด้งเข้าโซน 4 และ 5 ตามความคึก มิน่า เหนื่อยจังเลย ฮ่า!

เลยมาถึงผลของการวิ่ง เข้าสีแดงทั้งแบบใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจน ดูทรงแล้วคงต้องพักยาวหน่อย ส่วนจำนวนก้าวต่อนาทีกว้างมากค่ะ ตั้งแต่ 168 ถึง 247 ก้าวเลย

ความสูงไม่ต้องพูดถึง เนินขึ้นเนินลงเช่นนี้ สนุกค่ะ อุณหภูมินี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ รู้สึกว่าร้อนกว่าปกติ คงเพราะแดดส่องมาก แม้ว่าจะมีลมเย็นๆพัดมาเป็นแรงต้านเป็นระลอก

และสุดท้าย ลำดับที่ในสนาม ก็เป็นไปตามนี้ค่ะ ได้ลำดับที่ 11 จากผู้หญิงช่วงอายุ 30-39 ปีจำนวน 172 คน แต่ถ้าดูแค่ผู้หญิงก็ได้ลำดับที่ 27 จากผู้หญิง 378 คน และถ้ารวมนักวิ่งฮาล์ฟทั้งหมด 1,261 คน เราอยู่ที่ลำดับที่ 284 ค่ะ ผู้ชายคนแรกที่เห็นกลับตัวมา ก็ตอนที่เราต้วมเตี้ยมอยู่กิโลที่ 9 ค่ะ

จบวันไปด้วยความสุขคลุกความเหนื่อยค่ะ การพ่ายแพ้แม้จะมีประโยชน์ทำให้เราลุกขึ้นสู้ได้ใหม่ แต่ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายของนักวิ่งอย่างเราๆ การไม่ยอมแพ้ในสนามในยามที่ร่างกายยังไหวอยู่ คือความเข้มแข็งที่ยิ่งใหญ่ และแน่นอนว่ามันจะต้องมาจากการฝึกฝนอย่างอดทนและสม่ำเสมอ

ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีจิตใจเข้มแข็งไม่ยอมแพ้กันง่ายๆนะคะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: