Explore the Knowledge for Runner
เราเคยเป็นคนชอบวิ่งเร็ว ไปงานวิ่งเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย รับของที่ควรได้แล้วกลับบ้าน เราไม่เคยได้เพื่อนจากงานวิ่ง เรียกว่าแทบไม่ได้คุยกับใครเลยจะดีกว่า การไปงานวิ่งคือการแข่งขันกับตัวเอง แต่เมื่อเพื่อนรุ่นพี่ที่เรารักคนหนึ่ง นามว่าพี่แนน ส่งข้อความมาทาง Facebook ว่า “อยากวิ่งงานนี้ พาไปวิ่งหน่อย” พร้อมส่งภาพงานวิ่งมาเสร็จสรรพ การนัดหมายจึงเริ่มต้นขึ้น
งานนั้นมีชื่อว่า “จดหมายรันนิ่ง” เป็นงานที่ออกแบบเสื้อและเหรียญได้น่ารักมากตามสไตล์ของ Organizer นามมดยักษ์ใหญ่แห่ง Run Rhythm ซึ่งเราเคยร่วมวิ่งหลายครั้งเพราะชอบการออกแบบ Theme ของงาน รวมไปถึงเสื้อและเหรียญ เมื่อพี่ชวนไปงานที่เสื้อและเหรียญพร้อมเช่นนี้ เราจะไม่พร้อมได้อย่างไร
เราจัดการลงมือสมัครเข้าร่วมงานให้เราและพี่แนนอย่างรวดเร็ว เสื้อและบิบส่งมาให้ที่บ้าน 2 สัปดาห์ก่อนวันงาน เสื้อเป็นรูปกระดาษเขียนจดหมาย น่ารักน่าใส่มากๆ นอกจากนั้น ยังมีถุงผ้าให้ด้วย พี่แนนได้ส่งข้อความมาเป็นระยะก่อนวันงานว่า ได้ไปซ้อมวิ่งมาด้วย วิ่งแถวๆบ้านระยะรวมๆได้ 3 กิโลเมตร ซึ่งเราว่าเก่งมากแล้ว จากคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับเราแล้วในระยะทาง 5 กิโลเมตร ไม่ว่าจะเดินหรือวิ่ง สำหรับคนที่เริ่มต้นวิ่งหากทำได้แล้วก็ถือว่าดีมากๆแล้ว เรานึกถึงเราตอนที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ ระยะทาง 5 กิโลเมตรถือว่าไกลมากในความรู้สึก และการวิ่งได้จนสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่เพียงแค่ชนะระยะทาง แต่สามารถชนะใจตัวเองได้ด้วย เราจึงไม่ได้คาดหวังให้พี่แนนต้องวิ่งตลอดทาง หรือวิ่งเร็ว แค่ให้พี่แนนได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากขึ้นก็พอแล้ว
เมื่อถึงวันงาน เราก็ออกไปเจอพี่แนนที่ลานพระรูปสวนลุม พี่แนนมาถึงเร็วมาก เรียกว่าถึงตอนที่เราลุกจากเตียงซะด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเป็นคนเร็วเมื่อลุกจากเตียง (กว่าจะลุกนี่อีกนานเท่าไรไม่รู้) และบ้านใกล้ เลยใช้เวลาไม่กี่นาทีไปถึงที่นัดหมาย เราพาพี่แนนเดินเข้าสู่บริเวณงานที่ค่อนข้างคับคั่งและคึกคักด้วยทางผู้จัดสามารถหาสปอนเซอร์มาออกบูธได้เยอะ แม้คนร่วมงานจะมีน้อยเพราะงานจัดตรงวันกับงานใหญ่และเป็นวันแม่ซะด้วย ใครๆก็จัดงานวิ่งสำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางไกลไปไหนในวันหยุดยาวเช่นนี้ เราไม่ทันได้เดินสำรวจงาน เพราะพอไปถึงก็ใกล้เวลาปล่อยตัวนักวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรแล้ว ส่วนเรารออีก 10 นาทีหลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาปล่อยตัวของนักวิ่ง 5 กิโลเมตรอย่างเรากับพี่แนน เราจึงยืดเหยียดรอเวลา เวลาปล่อยตัวคือ 6.10 น. ซึ่งปล่อยตัวได้ตรงเวลา พร้อมเสียงเชียร์จากอาสามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเป็นตัวส่งให้ขาก้าวไปข้างหน้า
พี่แนนสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 3 กิโลเมตรด้วยความเร็วประมาณ 8-9 นาทีต่อกิโลเมตร เลยบอกพี่แนนว่า วิ่งไปตามที่ซ้อมมา ไม่ต้องเร่ง เก็บแรงไว้เดินหรือวิ่ง 2 กิโลเมตรหลังก็พอ ระหว่างนั้นเราก็เล่าเรื่องโน้นนี้นั้นไปตามเรื่องตามราว เพื่อให้พี่แนนเพลินๆไม่ต้องคอยจดจ้องกับอาการเหนื่อยของตัวเอง ช่วงแรกก็สามารถวิ่งได้ตามที่ซ้อมมา เราชวนคุยไปเรื่อยๆก็เริ่มได้ยินเสียงหอบเหนื่อยที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนระยะที่ 2 กิโลเมตรกว่าๆ พี่แนนหอบหนัก เราเลยบอกให้เดินซึ่งพี่แนนก็เห็นด้วย
เมื่อได้น้ำแล้ว ระยะทางที่เหลือก็เดินๆวิ่งๆสลับไป เราคอยบอกพี่แนนให้เดินเมื่อหอบหนัก วิ่งเมื่อดีขึ้นแล้ว พี่แนนสามารถทำได้ดี ไม่มีอาการเหนื่อยชนิดที่บอกได้ว่าไม่ไหวแล้ว หรือมากเกินไปแล้ว งานนี้มีตากล้องมาพอสมควร เราเลยบอกให้พี่แนนเก็บแรงไว้วิ่งตอนเข้าเส้นชัย พอวิ่งลงสะพานมาจะได้รูปสวยๆ กลายเป็นรูปที่ได้เป็นรูปเราคุยโม้เป็นส่วนใหญ่ไปซะงั้น
พี่แนนจบการวิ่งวันนี้ไปด้วยเวลา 46:12 นาที ได้ระยะทาง 5.27 กิโลเมตร ได้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 8:45 นาทีต่อกิโลเมตร ซึ่งถือว่าไม่เลวเลย สำหรับคนเริ่มต้นวิ่ง เรานี่ช่างแสนจะภูมิใจในตัวพี่แนนมากมาย นอกจากมาฟังเราเม้าท์แล้วยังวิ่งได้ดีอีกต่างหาก
สำหรับเราแล้ว การวิ่งวันนี้ถือว่ามาวิ่งโซน 2 สบายๆ เบิร์นไขมันไปพลางๆ แบบว่าไม่เหนื่อยเลย แต่การได้มาพาเพื่อนวิ่งแบบนี้ มีความสุขมากกว่าจะมาสนใจความเหนื่อยซะอีก
เหรียญรูปสแตมป์ก็สวยสมใจนักวิ่งอย่างเราได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกต่อไป
จบการวิ่งไปอีกหนึ่งงาน เราหวังว่าจะได้มีโอกาสพาพี่แนนวิ่ง 10 กิโลเมตรด้วยกันในภายภาคหน้า สำหรับเราวันนี้คือวันสร้างมิตรภาพดีๆอีกวัน นานๆเราจะได้เจอพี่แนนที การวิ่งวันนี้จึงเป็นการอัพเดทชีวิตของแต่ละคน มีโอกาสได้บอกวิธีการวิ่งให้พี่แนนค่อยๆเรียนรู้นำไปฝึกใช้ต่อ มีโอกาสได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับพี่แนน หวังว่าพี่แนนจะไม่หยุดวิ่ง วิ่งเร็ววิ่งช้าไม่สำคัญ เพราะว่าสุขภาพมีความสำคัญมากกว่าความเร็ว
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีเพื่อนร่วมวิ่งด้วยกันทุกคนนะคะ
12 ส.ค. 2561
Recent Comments