Explore the Knowledge for Runner
เมื่อมีงาน Pacer มาเสนออีกวาระหนึ่ง เราผู้ซึ่งติดใจการเป็น Pacer จากงานแรกจึงขอมีงานที่ 2 อีกสักครั้ง แต่ตอนแรกที่พี่ๆมาถามว่าใครไปบ้าง ก็ตอบว่าไปซะแล้วโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าสนามวิ่งจะเป็นอย่างไร จนเมื่อน้องๆในกลุ่มที่เคยไปวิ่งสนามนี้แล้วเข้ามาบอกทีละคนสองคนว่า ต้องวิ่งขึ้นลงตึกจอดรถสองตึกนะ จากที่กำลังจะพิมพ์ชื่อตัวเองลงไปที่เวลา 70 นาทีเช่นเดิมก็ต้องลังเล ก่อนตัดสินใจลงชื่อไปว่าขอเป็น Pacer 90 นาที ดูจะเป็นไปได้มากกว่า
งานที่มีสัญลักษณ์การวิ่งขึ้นตึกจอดรถสองตึกก็คืองาน EGAT Charity Green Run 2018 ที่จัดมาเป็นครั้งที่ 22 แล้ว งานนี้ได้ยินมานาน แต่ไม่เคยคิดไป เพราะรู้สึกว่าไกลบ้าน แต่เมื่อจะได้เป็น Pacer แล้ว ไกลแค่ไหนก็ไป ใจง่ายนะเนี่ยเรา งานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยค่อนข้างมีชื่อในเรื่องความแปลกแหวกแนวของการจัดงาน เพราะเป็นงานที่ไม่มีการแจกเหรียญ แต่จะแจกเป็นของอย่างอื่นแทน อย่างในปีนี้แจกเป็นข้าวกล้อง ถามจากคนที่เคยมาหลายปีก่อนที่ไม่มีเสื้อวิ่งให้ ก็จะแจกเป็นกระเป๋าบ้าง เป็นหมวกบ้าง นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีแนวคิดการจัดงานแบบเรียบง่ายสำหรับปีนี้คือ “ผสานวิถีชุมชน เพื่อการแบ่งปันที่ยั่งยืน”
วัตถุประสงค์ของการจัดงานนี้ นอกจากจะทำให้ กฟผ. เป็นที่รู้จัก สร้างความต่อเนื่องของการจัดงาน และสนับสนุนการออกกำลังกายของพนักงานและประชาชนทั่วไปแล้ว ยังถือเป็นโอกาสนำรายได้ที่เหลือจากการจัดงานช่วยเหลือนักเรียนโดยรอบ กฟผ. ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือเพื่อการกุศลอื่นๆ ซึ่งเราได้ยินทางพิธีกรแจ้งว่าวันนี้จะขอมอบเงินไว้ก่อนจำนวน 200,000 บาทถ้วนที่หน้างาน ส่วนอื่นๆจะตามมาทีหลัง เราก็ได้อนุโมทนาบุญกันไป
การเตรียมตัวซ้อมสำหรับงานนี้คือการวิ่งขึ้นเนินเพื่อเตรียมวิ่งขึ้นตึกจอดรถ 7 ชั้น ในกลุ่มไม่มีใครบอกได้ว่าชันขนาดไหน น้องที่เคยไปงานถ่ายรูปกราฟความชันมาให้ดู เราเลยลองมาคำนวณว่าจะต้องวิ่งขึ้นเนินที่ความชันเท่าไหร่ เราไม่สามารถหาเนินวิ่งได้ จึงคิดจะใช้ลู่วิ่งเป็นสนามซ้อม คำนวณความชันของลู่วิ่งออกมาแล้วประมาณ 3% เมื่อรวมกับความชันที่ต้องเพิ่มสร้างแรงเสียดทานอีก 2% ก็สมควรที่จะซ้อมความชันบนลู่วิ่งไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อได้ตัวเลขแล้ว ก็มาวางแผนการซ้อม เรายังมีเวลาอีกประมาณ 5-6 สัปดาห์ก่อนวันวิ่งจริง เราจึงเพิ่มการวิ่งขึ้นเนินเข้าไปแทนวันวิ่ง Interval หรือ Tempo วันใดวันหนึ่ง คำนวณเวลาวิ่ง 90 นาที ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร เราจะต้องวิ่งด้วยความเร็ว 8.34 นาทีต่อกิโลเมตร จะต้องวิ่งขึ้นตึกที่ประมาณกิโลเมตรที่ 8 ดังนั้นเวลาที่จะใช้วิ่งขึ้นตึกโดยประมาณก็อยู่ที่ 20 นาทีสุดท้าย แผนการซ้อมคือ วิ่งให้ได้ครบ 60 นาที แล้วเพิ่มความชันเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก 10 นาที ปรับลงมาพัก 5 นาที แล้วเพิ่มความชันอีก 10 นาที แล้วเข้าสู่ช่วง Recovery เลย พอถึงวันซ้อมจริง เราอาจมีข้อจำกัดเรื่องเวลาที่ไม่สามารถวิ่งครบ 90 นาทีอยู่บ้าง แต่จะพยายามให้ถึง 60 นาทีเป็นอย่างน้อยทุกครั้ง ส่วนวันวิ่งอื่นๆในสัปดาห์ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม วันวิ่งยาวยังไงเราจะวิ่งข้างนอกและไม่ต่ำกว่า 90 นาทีอยู่แล้ว เมื่อวางแผนการซ้อมเรียบร้อย ก็จัดไปตามนั้น แล้วก็คอยส่งการบ้านให้กับทางลูกโป่งรันเนอร์ตามเกณฑ์กันต่อไปค่ะ
เมื่อภาพโปรโมท Pacer ปล่อยออกมา เราก็ต้องขอเซฟเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ในกลุ่ม 90 นาที กลุ่มเราประกอบไปด้วยเรา น้องณัชที่ยังไม่เคยร่วมวิ่งกันมาก่อน น้องแครอทที่เคยเจอกันจากงานที่แล้ว และน้องนนท์ผู้ซึ่งเคยผูกลูกโป่งแรกในชีวิตให้ คราวนี้เลยขอเป็นคนผูกให้น้องบ้าง แต่ด้วยความที่เป็นมือใหม่หัดผูก ดันผูกไม่แน่น ลูกโป่งน้องนนท์เลยลอยขึ้นฟ้าไปสองใบ เราเลยไปแบ่งมาจากคนที่เหลือคนละใบ เลยได้ลูกโป่งผูกหลังกันคนละ 2 ใบกำลังดี
เมื่อถึงวันงาน ทุกคนนัดกัน 4.30 น. เราเองบ้านค่อนข้างไกล ดู Google map แล้วพบว่าใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจะไปถึงงาน เลยตื่นประมาณ 3.45 น. แต่งตัวอย่างรวดเร็ว ออกจากบ้านเวลา 4.00 น. กว่าจะเรียกแท๊กซี่ได้ก็คันที่ 7 ที่เหลือก่อนหน้าต้องไปส่งรถกันหมด จริงๆถ้าไม่พร้อมรับผู้โดยสารก็ไม่น่าจะหยุดรับเนอะ เสียความรู้สึกจังค่ะ สุดท้ายดีใจได้เจอแท๊กซี่ใจดี ยินดีไปส่ง แถมรู้จักทางด้วย เราเลยสบายไป เพราะแถวบางกรวยเราก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ เราขอคนขับซัดแซนวิชที่คว้ามาจากบ้านไป 1 ชิ้น ดื่มน้ำ 1ขวด ไม่นานก็ถึงสถานที่จัดงาน ทางเจ้าหน้าที่ให้ลงรถทางด้านหน้า และเราก็เดินเข้าไปด้านในไม่ไกลกันค่ะ
เดินเข้ามาถึงบริเวณที่จัดงาน จุดปล่อยตัวและเส้นชัยก็จัดไว้เรียบร้อยแล้ว เต็นท์ที่เรานัดกันก็มีลูกโป่งมาผูกรอพร้อมแล้ว ลูกโป่งสีส้มคือ 60 นาที สีเหลืองคือ 70 นาที สีเขียวคือ 80 นาที และสีชมพูสุดท้ายคือ 90 นาที เนื่องจากไม่มี Sweeper ในงานนี้ เราเลยคล้ายๆจะเป็น Sweeper ในงานไปซะเอง
พอไปถึงก็ไปรับบิบที่จ่ายเงินซื้อกันเอาไว้ค่ะ เราได้เลขท้ายสองตัวเท่าอายุพอดี ชอบบิบงานนี้ตรงที่ทำด้วยผ้า แบบว่าได้อารมณ์บ้านๆมาก ชอบมากเลยค่ะ ส่วนบิบสำหรับ Pacer ของเราก็ห่อด้วยพลาสติกอย่างดีจากลูกโป่งรันเนอร์เช่นเคย เมื่อได้รับลูกโป่งและบิบแล้ว ก็ช่วยกันติดกันไป
เราเจอน้องณัช และน้องนนท์เรียบร้อย แต่น้องแครอทหาที่จอดรถอยู่ เลยปรึกษากันถึงแผนการวิ่ง ทางเจ้าหน้าที่ประกาศว่าระยะทางคือ 10.1 กิโลเมตร แต่ด้วยความที่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดระยะทาง จึงใส่เวลาในการคำนวณสูตรเผื่อเวลาไว้ 2 นาที ความเร็วที่ใช้วิ่งจึงได้เท่ากับ 8.42 นาทีต่อกิโลเมตร เราเองตกลงกันว่าจะวิ่งไม่ให้ขาดให้เกิน 1 นาทีของเวลา 90 นาที
เรายืดเหยียดวอร์มอัพพอให้เหงื่อซึม รอเวลาปล่อยตัวตอน 6.00 น. สักพักก็ถูกพี่ๆเรียกตัวไปหน้าจุดปล่อยตัวเพื่อเตรียมสรุปงาน พี่ๆได้แจ้งไว้แล้วว่า ถ้าจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำให้ฝากโป่งกับเพื่อน หรือถ้ามีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ต้องหยุดวิ่ง ให้ปล่อยโป่ง ให้รักษาเวลาตามที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด และก็แตะมือกันก่อนส่งเสียงเฮ้เพื่อปลุกใจให้ตื่นกัน ระหว่างรอพิธีเปิด เราก็ยืนทำสมาธิ น่าแปลกที่งานที่ 2 ในฐานะ Pacer เราไม่ตื่นเต้นสักนิด คงเพราะได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีที่ความเร็วตามที่กำหนด แต่อาจจะมีความกังวลใจนิดๆตอนวิ่งในตึกซึ่งจะเป็นจุดอับ GPS อาจทำให้การวัดระยะจากนาฬิกาหรือมือถือไม่แม่นยำ และอาจทำให้การคำนวณเวลาการวิ่งผิดเพี้ยนไป เราจึงตกลงกันว่าจะคอยเชคกันเองในกลุ่ม และคอยเชคระยะทางจากป้ายระยะทางของผู้จัดอีกทีหนึ่ง
และแล้วก็ถึงเวลาปล่อยตัว เรากดเวลาทันทีที่ได้รับสัญญาณปล่อยตัว แต่เรายืนรอให้ลูกโป่งกลุ่มอื่นวิ่งออกไปก่อน ก่อนที่จะวิ่งเรียงเดี่ยวหลบทางให้กับนักวิ่งท่านอื่นวิ่งตามออกไป ทางวิ่งช่วงแรก เราจะวิ่งไปทางสะพานพระราม 7 แล้วค่อยวนกลับตัวมาใหม่ระหว่างทางวิ่งก็มีเสียงตะโกนเรียกนักวิ่งให้วิ่งไปด้วยกันทั้งจากน้องนนท์และน้องแครอท นอกจากนี้ยังมีน้องป๊อปซึ่งเป็นเพื่อนแครอทมาวิ่งด้วยกัน สร้างความครื้นเครงมาก เพราะปล่อยมุข เล่นมุขกันสนุกสนาน เรากับน้องณัชได้แต่หัวเราะ ยิ้มตาม เราเล่นมุขสมทบบ้างเล็กน้อยไปเรื่อยๆ ต้องขอบอกเลยว่าเราไม่เคยวิ่ง 10 กิโลเมตรแล้วหัวเราะตลอดทางได้อย่างนี้มาก่อน ต้องขอบคุณน้องๆกลุ่มนี้มากๆที่ทำให้ไม่เหนื่อยเลย การวิ่งขึ้นลงสะพานไปกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้แดดจะเริ่มส่องแสงสร้างความร้อนระอุบ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด และการวิ่งก็ยังคงเป็นไปตามความเร็วที่คำนวณกันเอาไว้
เมื่อวิ่งลงสะพานมา วนกลับเข้าสู่เขตการไฟฟ้า ก็เริ่มเตรียมขาให้พร้อมกับการวิ่งขึ้นตึกจอดรถกัน เส้นทางขึ้นตึกจอดรถตึกแรก ไม่ยากเย็นนัก เพราะความชันน้อยกว่าที่เราซ้อมมาพอสมควร ทำให้ชีพจรเปลี่ยนระดับจากโซน 2 เข้าสู่โซน 3 ในเวลานั้น GPS ที่จับกันได้ในนาฬิกาแต่ละคนเริ่มไม่ตรงกัน ต่างกันตั้งแต่ 500-800 เมตรกันเลย พอวิ่งลงจากตึกแรกมา จำได้ว่าเห็นป้าย 8 กิโลเมตร และจุดให้น้ำ ตอนนั้นนาฬิกาเรายังเป็น 7 กิโลเมตรกว่าๆ แต่พอดูเวลารวมกับป้ายระยะทางของผู้จัดก็พบว่า เรายังวิ่งมาเร็วกว่าเวลาที่คำนวณไว้ 1 นาที ซึ่งก็ยังเป็นไปตามที่คาด
เมื่อวิ่งขึ้นตึกที่สอง พบว่าทางชันกว่าตึกแรกเกือบเท่าหนึ่ง ทำให้เสียงให้กำลังใจนักวิ่งเงียบลงไป ต่างคนต่างตั้งใจวิ่ง และเนื่องจากไม่สามารถกะระยะทางของการวิ่งได้จึงทำให้วิ่งเร็วกว่าเวลาที่ควรวิ่งไปมากพอสมควร พอมาช่วยกันวัดระยะใหม่โดยเทียบกัน 4 คนก็พบว่าระยะทางไม่เท่ากันซะแล้ว เราประมาณจากที่คำนวณได้ว่า วิ่งขึ้นตึกที่สองเร็วขึ้น 1 นาที ทำให้เวลาที่วิ่งไป เร็วไป 2 นาที ช่วงระยะทางที่ลงจากตึกจนถึงเส้นชัย เลยจำเป็นต้องลดความเร็วลงจนเหลือเดิน และสุดท้ายก็ต้องยอมหยุดก่อนถึงเส้นชัยประมาณ 2 นาที และส่งเสียงเชียร์เพื่อนนักวิ่งไปพลาง เพราะเป็นระยะอีกไม่ถึง 50 เมตรก็จะถึงเส้นชัยแล้ว หวังว่าเสียงเรียกของเราคงจะพอช่วยกระตุ้นเพื่อนนักวิ่งที่อ่อนแรงช่วงท้ายนี้ให้มีแรงวิ่งต่อไปได้บ้าง
เมื่อใกล้ถึงเวลา 90 นาที เราก็วิ่งเข้าเส้นชัยได้พอดี การวิ่งวันนี้วิ่งเร็วไปในช่วงท้ายเพราะการกะระยะลำบากในช่วงเวลาวิ่งขึ้นตึก แต่ก็จบลงไปได้ด้วยดี ระหว่างทางนอกจากจะคุยกันเองอย่างสนุกสนานแล้ว ยังมีเพื่อนนักวิ่งมาขอถ่ายรูปด้วย แล้วคุยแซวกันไปเรียกเสียงหัวเราะได้ดี เป็นการวิ่งที่มีรอยยิ้มตลอดเส้นทาง น่าประทับใจมากค่ะ เราไม่เคยมีรูปวิ่งแล้วยิ้มอย่างนี้มาก่อนเลย
ตอนวิ่งเข้าเส้นชัย เราได้รับการแจกกระดาษเล็กๆใบหนึ่ง และถุงผ้าอีกใบหนึ่ง ข้างในใส่ถุงข้าวสารเอาไว้ พอมาดูแผ่นกระดาษใกล้ๆก็ถึงเข้าใจว่ามันเป็นใบบอกอันดับนั่นเอง เจ้าหน้าที่มาช่วยกันยืนแจกกันอย่างแข็งขัน เป็นกระดาษรีไซเคิล และทำลวดลายได้น่ารักมาก
ข้าวสารที่ได้ก็เป็นข้าวสารที่ทาง กฟผ. มีส่วนช่วยสนับสนุนชาวนาซื้อมา นอกจากแผ่นกระดาษที่ได้รับแจกแล้ว ยังมีใบฉลากจับรางวัลด้วย เราเปิดออกมาไม่ได้รางวัล ไปดูรางวัลที่แจกคือเสื่อค่ะ เก๋มากๆ
สรุปการวิ่งวันนี้เป็นไปตามที่ต้องการ ระยะทาง 10.27 กิโลเมตร ในเวลา 90 นาที ความเร็ว 8:46 นาทีต่อกิโลเมตร ตัวเลขต่อกิโลเมตรอาจไม่ค่อยสวย เพราะช่วง 2 กิโลเมตรสุดท้าย GPS เรรวน แต่เราก็พยายามกันเต็มที่แล้วค่ะ
เส้นทางวิ่งสนามนี้ ปิดถนนได้ดี อาจมีบางจังหวะต้องวิ่งเร่งเพื่อข้ามถนน แต่เจ้าหน้าที่ก็มีการตัดแบ่งกลุ่มนักวิ่งได้ดี ดูมีประสบการณ์มากค่ะ
ในช่วงเช้าๆอย่างวันนี้อากาศกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไปอยู่ในช่วง 28 – 31 องศาเซลเซียส มีแดดช่วงท้ายๆบ้าง แต่พอวิ่งเข้าเขต กฟผ. ใหม่ก็มีเงาตึกบังไม่ร้อนซักเท่าไหร่แล้วค่ะ
ดูกราฟความชันก็เห็นได้ว่าวิ่งขึ้นตึก 2 ตึกไปที่ความสูงพอๆกัน จะเห็นได้ว่ากราฟของตึกที่สองชันกว่าตึกแรกอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
หัวใจวันนี้คงได้โซน 4 มาตอนวิ่งขึ้นตึกที่ 2 แน่นอน ส่วนใหญ่วิ่งสบายๆขำๆกันไปก็ตกอยู่ที่โซน 2-3 ค่ะ ถือเป็นการวิ่งที่ไม่เหนื่อยเลย และเท่าที่ดูนักวิ่งงานนี้วิ่งกันค่อนข้างเร็วค่ะ กลุ่มเราถือเป็นกลุ่มรั้งท้ายจริงๆตามคาดค่ะ
ขอบคุณน้องๆ Runway จากลูกโป่งรันเนอร์ที่มาช่วยสร้างเสียงหัวเราะ ส่งเสียงกระตุ้นเพื่อนนักวิ่งตลอดทาง ดีใจที่มีเพื่อนนักวิ่งมาขอถ่ายรูปด้วย และบอกว่าเข้าเส้นชัยได้เพราะเสียงพวกหนูๆนี่แหละ แค่นี้เราก็มีความสุขมากๆแล้ว
และแล้ว งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา เนื่องจากเราเข้ากลุ่มท้ายๆ แถวข้าวไข่เจียวอันเลื่องชื่อจึงยาว และเพราะเราต้องกลับไปทำงาน จึงขอตัวแยกออกมาก่อน ระหว่างทางเดินหารถแท็กซี่กลับก็เจอคุณลุงคนหนึ่งอายุ 60 กว่าๆถามว่า Pacer คืออะไร เลยได้มีเพื่อนคุยเดินออกจากงาน แถมได้ให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องปวดคอปวดหลังของคุณลุงด้วย นี่สินะ คือการให้ ที่ทำให้เรามีความสุขได้เสมอ
จากวันแรกที่วิ่งเพื่อลดไขมัน “วิ่งเพื่อตัวเอง” จนมาถึงวันที่ชวนคนใกล้ตัววิ่ง ไปวิ่งด้วย ไล่มาจนถึงวันที่มาเป็น Pacer เราไม่เคยนึกเลยว่า เราสามารถมาถึงจุดที่เรา “วิ่งเพื่อคนอื่น” ได้แล้ว ยิ่งเราวิ่งเพื่อคนอื่นมากเท่าไร ผลที่ได้จะย้อนกลับมาหาเรามากเท่านั้นเพื่อนๆมักจะบอกว่าเราขยันวิ่ง แต่จริงๆแล้ว เราเสพติดความรักที่จะให้ด้วยการวิ่งซะมากกว่า
“ไม่มีความฝันไหนที่จะเป็นจริงได้ ถ้าไม่เคยฝัน ไม่มีคนขยันคนไหนจะคว้าฝันไม่ได้ หากได้ลงมือทำ”
ถ้าจะบอกว่าการได้เป็น Pacer คือฝันที่เป็นจริงแล้ว แต่การเป็น Pacer ที่ดี และทำให้ได้มาพบเจอแต่คนดีๆต่างหาก ที่เรียกว่า มากเกินกว่าฝัน แต่คือความจริงที่ได้รับจริงๆ แค่จากเหตุผลเดียว คือการให้นั่นเองค่ะ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีความขยันที่จะฝันให้เป็นจริงกันนะคะ
2 กันยายน 61
Recent Comments