วิ่งบ้านๆ @ น่านนคร

ถ้าถามว่าโปรเจคนี้บ้าไหม ก็อยากจะตอบดังๆว่า “บ้ามาก” ในหลายๆแง่มุม เราไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะทำอะไรแบบนี้จริงๆ

เราลงวิ่ง Virtual run ของวิ่งทั่วไทยไว้ เราต้องวิ่ง 5 ภาค และเราวิ่งครบไปแล้ว 4 ภาค เหลือภาคสุดท้ายคือภาคเหนือ เราวางแผนเที่ยวน่าน 6 วัน คิดฝันจะไปวิ่งที่ อ.ปัว ท่ามกลางขุนเขา และอากาศเย็นๆ กับวิวทุ่งนาสีเขียว แต่ต้องฝันสลายเพราะพ่อแฟนต้องผ่าตัดกระทันหัน จึงจำเป็นต้องยกเลิกทริปทั้งหมด เลื่อนตัวเครื่องบิน เลื่อนที่พัก ยกเลิกเช่ารถ เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร ยกเลิกไปเพราะจำเป็น ก็เท่านั้น แต่มาเอ๊ะ เราต้องวิ่งอีก 1 ภาคนี่นา ทำยังไงดี ลาไว้แล้วด้วย ไม่มีวันหยุดเหลืออีกต่างหาก เลยตัดสินใจเปิดหาตั๋วเครื่องบินแบบไปเช้าเย็นกลับ

เราได้เที่ยวบินขาไป ราคาถูกที่สุดคือ 900 บาทของนกแอร์ แต่เวลาบินคือ 12.55น. ไปถึงเวลา 14.05น. ถ้าเวลาเช้าตรู่ก็จะแพงขึ้นไปอีก มาดูเที่ยวบินขากลับ ได้ของ Air Asia เหลือเที่ยวบินสุดท้ายไม่กี่ที่นั่ง ราคาแพงหน่อย 2,300 บาท เวลาบินคือ 16.55น.กลับถึง กทม. ประมาณ 18.00น. คำนวณเวลาที่อยู่ที่น่านประมาณ 2.30 ชั่วโมง เพียงพอกับการวิ่งเก็บระยะ 10 กิโลเมตร เที่ยวบินไปน่านของ 2 สายการบินนี้ มีเพียงวันละ 3 เวลาเท่านั้น จึงทำให้หาเที่ยวบินไปกลับใน 1 วันยาก แถมเวลากระชั้นชิดมากด้วย ราคาจึงแพงมากด้วย การได้ราคาถูกหน่อยจากนกแอร์ถือว่าโชคดี อาจเป็นเพราะเป็นเที่ยวบินระหว่างวันด้วยนั่นเอง คิดไปมา ความบ้าอันดับแรกคือการยอมจองตั๋วเครื่องบินราคาแพง เพื่อไปเก็บระยะวิ่ง 10 กิโลเมตร

ความบ้าอันดับสองคือการที่ต้องไปวิ่ง 10 กิโลเมตรในเวลาช่วงบ่ายของวัน ช่วงเวลา 14.00- 16.30 น. คือช่วงเวลาที่คำนวณไว้ ดังนั้นอุปกรณ์กันแดดจึงต้องพร้อม ทั้งหมวก ทั้งแว่น ส่วนชุดเราก็เสื้อมีแขน และกางเกงขาสั้นก็พอ รวมถึงขวดน้ำดื่มที่ขาดไม่ได้

เราวางแผนขับรถไปจอดไว้ที่สนามบิน ความกดดันแรกเกิดขึ้น เมื่อที่จอดรถเต็มแน่นทุกตารางนิ้ว โชคดีที่น้องเจ้าหน้าที่หาให้ได้ เพราะแจ้งน้องว่าเรามาเช้าเย็นกลับ ไม่ได้จอดค้าง น้องจึงพอหาที่สำรองไว้ให้จอดแทน

ความกดดันสองเกิดขึ้นทันทีเมื่อไปถึงสนามบิน เชคอินแล้ว เจอภาวะล่าช้าของเครื่องบิน จากเวลา 12.55 เป็นเวลา 13.10 อันมีสาเหตุมาจากการจราจรในน่านฟ้าคับคั่งเกินเหตุนั่นเอง จากเวลาที่คำนวณ เดินทาง 1 ชั่วโมงจากเวลา 13.10น. เราจะไปถึงน่านเวลา14.10 น. ก็ยังพอรับได้ แต่เมื่อถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องกลับเป็นเวลา 13.15น. โชคดีผู้โดยสารน้อย เครื่องจึงได้ออกเวลา 13.30น. เราจะไปถึงน่านเวลา 14.30น. เราต้องกลับมาที่สนามบินภายในเวลา 16.30น. เพื่อเชคอิน เพราะเราไม่สามารถเชคอินออนไลน์ได้เนื่องจากที่นั่งเหลือคือที่นั่งฉุกเฉิน  แล้วเราจะวิ่งทันไหม ในเวลา 2 ชั่วโมง ท่ามกลางแดดร้อน และระยะทางที่ไม่แน่นอน แม้จะเปิดแผนที่กูเกิลเอาไว้แล้ว นี่คือคำถามที่เกิดในใจตลอดเวลาที่เดินทางไป 

สุดท้ายเราปัดความคิดทุกอย่างทิ้ง ไหนๆก็มาขนาดนี้แล้ว ลุยให้เต็มที่ก็พอ เราเลยหลับเอาแรงในเครื่องระหว่างเดินทาง

พอตื่นมาเห็นวิวทิวเขาของจังหวัดน่านอยู่ใต้เครื่องก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว แอบเสียดายอยู่ลึกๆว่าไม่ได้ขับรถเลาะเข้าไปในขุนเขาเหล่านั้น เอาไว้ปีหน้าละกันนะ

สุดท้ายเท้าเหยียบลงสู่จังหวัดน่านเรียบร้อยในเวลา 14.30 น. จริงๆด้วย เรารีบลงมาจากเครื่องให้เร็วที่สุด ไม่มีกระเป๋าใบใหญ่ นอกจากใบเล็กๆเป็นเป้จักรยานใบเล็ก ข้างในคือชุดเปลี่ยนตอนขากลับ เพราะคาดว่าเหงื่อจะออกเยอะจนไม่สบายตัว และของจุกจิกประเภทกุญแจรถ กุญแจบ้าน ขนมปังรองท้อง เสื้อคลุมกันหนาวแบบบางเบาไว้ใส่บนเครื่องบิน น้ำหนักรวมไม่เกิน 2 กิโลกรัมแน่ๆ เรามีแค่นั้น จึงพร้อมออกวิ่งทันที

เราเปิดกูเกิลแล้วออกวิ่งตาม ระยะทางจากสนามบินถึงวัดภูมินทร์ที่เราปักหมุดไว้เป็นจุดหมายคือ 3.7 กิโลเมตร ถ้าวิ่งไปกลับก็ใกล้ๆ 10 กิโลเมตร ถ้าเดินๆวิ่งๆไปตามสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง รวมก็จะได้ประมาณ 10 กิโลเมตร

เราวิ่งออกมาจากสนามบินก็ได้ระยะทาง 1 กิโลเมตรนิดๆแล้ว เราวิ่งเหยาะๆไปตามทางริมถนน แดดเปรี้ยงพอใช้ได้ แต่รู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านปิวหนังให้ไม่ร้อนจนเกินไป ช่วงบ่ายสองแก่ๆอย่างนี้ เราหาที่ร่มวิ่งหลบแดดได้ยากจริงๆ

พอวิ่งผ่านกิโลเมตรที่ 2 ถึง 3 เราก็มาถึงวัดแรกที่เราได้เล็งๆไว้ในกูเกิล แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักท่องเที่ยวหรือเปล่า นั่นก็คือ “วัดสวนตาล” เราแวะเข้าไปถ่ายรูปเล็กน้อย ไม่ได้เดินเข้าไปกราบ “พระเจ้าทองทิพย์” พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ ด้วยเนื่องจากแดดร้อนมากๆ และอยากจะรีบเข้าไปถึงตัวเมืองก่อน เพื่อความสบายใจในระดับหนึ่ง ตอนนั้นเวลาในนาฬิกาบอกว่าเราวิ่งมาได้สัก 15 นาทีแล้ว

จากสี่แยกวงเวียนตรงวัสวนตาล เราวิ่งออกมาทางขวา ตรงไปหาวัดภูมินทร์ ระหว่างทางเจอกับวัดหัวข่วง จึงแวะเข้าไปกราบพระสักหน่อย พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ลักษณะพุทธศิลป์แบบท้องถิ่นล้านนา สกุลช่างเมืองน่าน เสาภายในพระอุโบสถเป็นสีดำแดง ลวดลายสวยงาม เมื่อมาถึงจุดนี้เราก็วิ่งมาได้ 4 กิโลเมตรแล้ว การได้เข้าไปกราบพระในวัด ถือเป็นการพักหลบแดดที่ดี แต่เราก็ไม่สามารถพักได้นาน เพราะตอนนั้นเวลาล่วงเลยมาที่ 15.00น. แล้ว

ตรงข้ามกับวัดหัวข่วงคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ซึ่งภายในบริเวณนี้ สิ่งที่เป็นสัญญลักษณ์การมาถึงของนักท่องเที่ยวคือซุ้มลีลาวดีทางด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้า บริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นประปรายแล้ว เราจึงวานให้พี่ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ภาพออกมาสวยงามจริงๆ นี่เรามาถึงน่านจริงๆแล้วนะเนี่ย

ส่วนอาคารที่เป็นพิพิธภัณฑสถานสีเหลืองมีลวดลายสวยงามก็ถูกปิดอย่างเรียบร้อยเนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์วันหยุดของพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศนั่นเอง ซึ่งถือเป็นข้อดี เพราะเราเป็นคนชอบเดินพิพิธภัณฑ์มาก กลัวจะอดใจไม่ไหวเข้าไปเดินจนหมดเวลาจริงๆ เราไม่ได้เดินไปทางด้านวัดน้อย ซึ่งเป็นวัดเล็กๆในบริเวณนั้น เพราะหันมาเห็นอีกวัดหนึ่งที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางวันนี้นั่นคือวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ที่อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์นั่นเอง

วันนี้ฟ้าสวยมากๆ เล็งกล้องถ่ายตามแสงไปตรงไหนก็สวย พอเห็นวัดไกลๆแล้ว เราก็ทั้งเดินทั้งวิ่งเข้าไปหา

วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.1949 ที่โดดเด่นคือเจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 รอบเจดีย์ มีรูปปั้นช้างปูนปั้น เพียงครึ่งตัวประดับอยู่โดยรอบ ภายในพระธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีลิกธาตุไว้ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65% สูง 145 เซนติเมตร ส่วนตัววิหารเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาไทย ซึ่งทำให้วัดที่น่านมีความโดดเด่นไม่เหมือนที่อื่น

ตอนไปถึงวัด มีการประดับโคมหลากสี อดใจไม่ไหวที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เป้าหมายต่อไปคือวัดภูมินทร์ ซึ่งเดินเลยขึ้นมาจากวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารอีกเล็กน้อย วัดภูมินทร์ เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” เป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่น ๆ คือ โบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน มีประตูไม้ทั้งสี่ทิศ แกะสลักลวดลายโดยช่างฝีมือล้านนาสวยงามมาก นอกจากนี้ฝาผนังยังมีภาพวาดแสดงถึงชีวิตและ วัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารของเมืองน่าน วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139

วัดภูมินทร์มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครที่เห็นเด่นชัดคือ พระอุโบสถเป็นทรงจตุรมุข พระประธานจตุรพักตร์ คือพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออก ด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ ชนกันประทับนั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยด้านนอกทั้งสี่ทิศมีนาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาค

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ และทำให้เราอยากกลับมาดูแล้วดูอีกนั่นก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือ “ฮูบแต้ม” ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนา แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ ภาพเด่น คือ ภาพปู่ม่านย่าม่าน ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิงแต่งกายไทลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของหนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก ภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์

นี่ขนาดเรามีเวลาแค่ไม่นานที่จะอยู่ชมความสวยงามของที่นี่ ภาพที่ถ่ายมาได้ก็มีมากมายเลยทีเดียว ตั้งใจว่าจะกลับไปเยี่ยมชมแบบไม่ต้องรีบจริงๆให้ได้อีกครั้งหนึ่ง

ออกมาทางด้านนอกพระอุโบสท ก็เห็นรูปปั้นนี้ที่เมื่อ 8 ปีก่อน เรามาเที่ยวน่านถึง 2 ครั้งยังไม่มี และครั้งนั้นจะมีน้องนักเรียนมานำอธิบายภาพวาดแต่ละภาพ แต่ครั้งนี้ไม่พบเห็น

การมาเยี่ยมชมน่านนครระยะสั้นมากๆนี้ เรายังสัมผัสได้ถึงความพยายามของเมืองน่านที่สนับสนุนการท่องเที่ยว แต่ก็ยังคงพยายามอนุรักษ์ความเป็นเมืองน่านดั้งเดิมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

ที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตรงข้ามกับวัดภูมินทร์ก็มีมุมจัดให้ถ่ายรูป และเป็นจุดขึ้นรถรางชมเมือง เราได้เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยววัยกลางคนมาเที่ยวประมาณ 10 กว่าคน รอรถรางออกและถ่ายรูปกันอย่างคึกคักเราแวะซื้อถุงผ้ากลับมาเป็นที่ระลึก ฝากญาติที่ไม่ได้มาด้วยกันคราวนี้คนละถุง ราคาไม่แพง ถุงละ 10 บาทเท่านั้นเอง มองนาฬิกา เวลาล่วงเลยมา 1 ชั่วโมงแล้ว เรามีเวลาอีกเต็มที่ 30 นาที โดยไม่กดดัน แต่ระยะทางที่เหลืออีก 5 กิโลเมตรกดดันเรามากกว่า เราจึงออกวิ่ง มุ่งหน้าไปทางสนามบิน โดยที่ลืมแวะวัดมิ่งเมืองที่อยู่ด้านหลังวัดภูมินทร์ไปเสียสนิท วัดมิ่งเมืองเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองน่านเสียด้วย พลาดไปอย่างน่าเสียดาย

เราวิ่งเลาะมาอีกเส้นหนึ่งเพื่อจะได้แวะวัดหัวเวียงใต้เป็นวัดสุดท้ายก่อนกลับ ได้วิ่งผ่านร้านค้าต่างๆมากมาย ยังได้เห็นป้ายต่างๆข้างทางบอกกับนักท่องเที่ยวให้กลับมาเที่ยวอีก

และแล้วก็มาถึงวัดหัวเวียงใต้ เป็นวัดเก่าแก่  มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าในปี พ.ศ. 2278 หรือ 2279 ท้าวสุทธะและแม่เจ้าใจได้อุทิศที่ดินและสร้างวัดหัวเวียงใต้ขึ้นเพื่อเป็นวัดประจำหมู่บ้าน  เป็นวัดที่สร้างด้วยอิฐถือปูน สำหรับพระประธานภายในโบสถ์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่านั้น หม่องส่าหรือนายหม่อง วงศ์เครื่อง พ่อค้าไม้ชาวพม่าเป็นผู้สร้างถวาย กำแพงวัดมีอายุกว่า 160 ปี เป็นรูปพญานาค 2 ตัว เลื้อยอยู่บนกำแพง เสียดายอีกแล้วที่ไม่ได้เข้าไปไหว้พระประธานซึ่งเป็นศิลปะพม่าที่ทำให้วัดนี้ไม่เหมือนวัดอื่นเช่นกัน

ข้างๆวัดหัวเวียงใต้มีศาลเจ้าจีนสวยเสียด้วย ครั้งหน้าถ้าได้มา ไม่พลาดแน่ๆ

เราวิ่งกลับมาบรรจบกับวัดสวนตาลอีกครั้งที่แยกสวนสาธารณะบ้านช้างเผือก เพื่อวิ่งกลับสู่สนามบินน่านเส้นทางเดิมอีกประมาณ 3 กิโลเมตร

ช่วงนี้แม้แดดจะยังออกอยู่ แต่เป็นช่วงบ่ายสี่โมง เราสามารถใช้เงาตึกเป็นร่มเงาขณะวิ่งได้ และลมที่พัดมาก็ยังเย็นสบายอีกต่างหาก แล้วแดดก็อยู่ข้างหลังเราแล้ว ทำให้การวิ่งกลับสนามบิน แม้ขาจะล้าไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าสบาย

เราวิ่งสลับเดิน เพราะเริ่มหมดแรง เพื่อเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ไปเชคอินที่เคาน์เตอร์ Air Asia ได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องน้ำเปลี่ยนชุด ซื้อซาลาเปาทานรองท้อง กะว่าจะหิ้วท้องกลับไปหาอะไรทานที่สนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯบ้านเราแทน

ระหว่างรอขึ้นเครื่องเราก็เดินเล่นในอาคารผู้โดยสาร เห็นภาพแขวนผนังขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่เราวางแผนจะมาเที่ยวครั้งนี้ล่วงหน้าเป็นปีทั้งนั้นเลย

เรากดหยุดนาฬิกาเมื่อครบระยะ 10 กิโลเมตรในอาคารผู้โดยสาร ถือว่าภารกิจหลักได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

แม้ว่าเราจะอดเที่ยวอย่างที่เราตั้งใจเอาไว้ แต่การอดเที่ยวครั้งนี้ก็ทำให้เราได้มาทำอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำในชีวิต นั่นคือ “การบินมาเพื่อวิ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” โอกาสนี้ ถ้าไม่ได้ยกเลิกทริปเดิมก็คงจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้จริงๆ

เครื่องบินมาจอดรอเราแล้ว เจ้าหน้าที่เรียกเราขึ้นเครื่องแล้ว การมาวิ่งที่เมืองน่านครั้งนี้ รู้สึกถึงความใกล้ชิดของสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างเส้นทางการวิ่ง วิ่งไม่ลำบาก ถนนไม่ใหญ่ รถไม่เยอะ สุนัขไม่มี วิ่งสบายๆกับลมเย็นๆ เราเชื่อว่าครั้งต่อไปที่มาเที่ยว เราจะไม่พลาดการออกวิ่งเช่นนี้อีกแน่ๆ แต่ครั้งต่อไปคงจะขอวิ่งไม่ตอนเช้าก็ตอนเย็นแทนค่ะ

สรุประยะทางวิ่งรวมที่ได้ ก็ได้ตามที่ตั้งใจไว้คือ 10 กิโลเมตร เราไม่สนใจหยุดนาฬิกาจับเวลา แม้ว่าเราจะนั่งลงกราบพระก็ตาม เลยได้เวลารวมอยู่ที่ 1:49:31 ชั่วโมง เรื่องเพซเลยไปตกที่ 10:51 นาทีต่อกิโลเมตร

ได้เส้นทางวิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้มาเพิ่มในสมุดสะสมอีกหนึ่งเส้นทาง 
หัวใจเต้นไประหว่าง 131-176 ครั้งต่อนาที

ความสูงของจังหวัดน่านเทียบกับกรุงเทพก็ไม่เป็นที่แปลกใจอยู่แล้ว เรารู้สึกว่า ความสูงที่สนามบินสูงกว่าในเมืองเล็กน้อย ตอนวิ่งกลับมีขึ้นเนินเล็กน้อย

อุณหภูมิก็ไม่เป็นที่แปลกใจ ตอนไปถึงก็คงจะสูงอยู่แล้ว และพอเข้าเมือง เข้าที่ร่ม วิ่งเลาะเงาตึก ก็เลยเย็นลงเล็กน้อย และพอเข้าสู่ตัวอาคารเลยเป็นอุณหภูมิภายในตึกแทน

โซนหัวใจมีหลากหลายโซน ซึ่งก็สนุกสนานเพราะทั้งวิ่งตอนร้อน วิ่งตอนเย็น เดิน ยืน นั่ง มันก็เลยเป็นไปตามนั้น 

สรุปความบ้าในการวิ่งรอบนี้ เสียเงินไปร่วม 3,000 ในเวลา 5-6 ชั่วโมง ตั้งแต่เดินทางออกจากบ้าน จนกลับถึงบ้าน แรกๆก็ถามตัวเองว่า นี่เราทำอะไรอยู่กันแน่ แต่เมื่อวิ่งจบแล้วก็ค้นพบว่า เพราะเราบ้าวิ่งไง อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ คงเหมือนกับ คำถามที่ว่าจะทำได้ไหมตอนวิ่งมาราธอนแรก หรือคำถามที่ว่าจะทำไปทำไม ตอนที่ต้องขุดตัวเองออกจากเตียงในตอนเช้ามืดเพื่อออกไปวิ่ง ทั้งที่ควรเป็นเวลานอน 

เมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ คำถามจะหมดไปจากหัวใจ เพราะเสียงหัวใจตอนที่วิ่งเป็นจังหวะคงที่แล้วนั่นเอง ที่จะบอกเราว่า “แกมันบ้าวิ่งจริงๆ”

ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีหัวใจบ้าการวิ่งกันทุกคนนะคะ26 พ.ย.2561

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: