Explore the Knowledge for Runner
หลังจากวิ่งตุปัดตุเป๋ในขวบปีแรกของการเป็นนักวิ่ง ผ่านมาปีที่ 2 เมื่อเริ่มวิ่ง 10 กิโลเมตรได้สบายๆ จนเข้าปีที่ 3 จึงอยากสับขาในสนามฮาล์ฟมาราธอนบ้าง จึงตั้งเป้าหมายว่าจะขอร่วมสนามฮาล์ฟให้ได้สัก 4 สนามใน 1 ปี ประจวบเหมาะกับทางยูนิครันนิ่งจะจัดงานในจังหวัดใกล้ๆกรุงเทพ พอจะเดินทางได้สะดวก พร้อมทั้งถ้าสมัครครบ 3 สนาม จะได้รับส่วนลดด้วย จึงบังคับตัวเองลงสมัครไปซะเลย เพื่อให้รู้ว่า อย่าได้เบี้ยว และทั้ง 3 สนามนั้น มีระยะเวลาที่ห่างพอให้เตรียมตัวซ้อมกันพอสมควรค่ะ
สรุปสถิติฮาล์ฟ 4 ครั้งเป็นดังนี้
แต่ละงานวิ่งนั้น ห่างกัน 3-4 เดือน ซึ่งเพียงพอที่จะเข้าตารางซ้อมได้เลย แม้จะจัดตารางซ้อมให้กับตัวเอง แต่ก็มีแค่ฮาล์ฟแรกเท่านั้นที่ทำได้ตามโปรแกรมเป๊ะ เตรียมตัวพร้อมอย่างมากก่อนการแข่งขัน แถมวิ่งสนามสะพานพระราม 8 ซึ่งปิดถนน 100% ทำให้มีสมาธิกับการวิ่งได้ดี ไม่ต้องคอยระวังรถรา แถมไม่ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด นอนไม่หลับในที่ที่ไม่คุ้นเคย เลยทำให้ทำเวลาได้ดี จำได้ว่าเป็นฮาล์ฟรายการแรกที่ได้รางวัลที่ 3 ในช่วงกลุ่มอายุ 30-39 ปี ดีใจมากๆที่วิ่งได้สำเร็จ และผลเกินความคาดหมายไปมากเพราะจริงๆก็แค่ไม่อยากหลุด Pace 6 แค่นั้นเอง
ส่วนงานที่ 2 คืองานที่สุโขทัย มีเพื่อนไปด้วย นั่งรถตู้ไปด้วยกัน เพราะเป็นงานต่างจังหวัดงานแรก เลยออกแนวตื่นเต้น เป็นสนามที่ไม่เคยรู้จัก ได้แต่ดูแผนที่ เลยไม่รู้ว่าทางวิ่งจะเป็นอย่างไร พอวิ่งจริงๆก็ประทับใจ ทางวิ่งสวย วิ่งผ่านโบราณสถาน ทำให้ไม่เบื่อค่ะ เข้าโปรแกรมซ้อมได้พอสมควร ฟิตพอสมควร แม้จะไม่สมบูรณ์เท่าฮาล์ฟแรก แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดค่ะ จบงานนี้วิ่งได้ที่ 7 ในกลุ่มอายุ 30-39 ปีค่ะ ผลงานเป็นที่น่าพอใจ ฮาล์ฟนี้ทำให้ไม่รู้สึกกลัวระยะฮาล์ฟอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่าร่างกายเรารับได้จริงๆ
งานที่ 3 ที่อยุธยา เป็นงานที่ไม่มั่นใจเลย เพราะไม่ได้ซ้อมเลย เรียกว่าแค่พยายามคงการวิ่งไว้ให้ได้สัก 5-10 กิโลเมตร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เรียกว่ายากมากแล้ว ด้วยความที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต แต่เพราะมีเพื่อนและจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว จึงคิดว่าไปลองทำเท่าที่ได้ ถ้าไม่ไหวก็แค่หยุดเท่านั้นเอง แต่ผลสุดท้ายก็ทำได้นะคะ แค่ล้าขามากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาค่ะ
ฮาล์ฟที่ 4 คือที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นเนินค่อนข้างโหด ฮาล์ฟนี้ก็ซ้อมไม่ถึง แต่มีเวลามากกว่าฮาล์ฟที่ 3 เล็กน้อย และรู้สึกฟิตกว่า แรกๆกะว่าขอสัก 2 ชั่วโมง แต่พอเจอเนินเข้าไป อยากจะหยุดก้าวขาตั้งแต่กิโลเมตรที่ 7 แล้วล่ะค่ะ แต่ก็เอาจนจบจนได้ ได้อาการเจ็บเข่าซ้ายแถมมาซะงั้นเลย
สรุปแล้วฮาล์ฟทั้ง 4 ครั้งนี้ มีหลากหลายรสชาติ แต่ก็เป็นรสชาติที่ลงตัว เริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศและระยะทางนี้ เหมือนกับตอนแรกที่เริ่มวิ่งมินิมาราธอน ทำให้ไม่รู้สึกว่าระยะนี้ไกลเกินกว่าขาจะพาไปถึงแล้ว ดังนั้นเป้าหมายต่อไปในปีนี้คือฟูลมาราธอน ยังไม่รู้นะคะว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่ามันต้องใช้การวางแผน ระเบียบวินัย ความอดทน ความมุ่งมั่นที่มากกว่าเดิม และเข้มข้นกว่าเดิมด้วย สำหรับฟูลมาราธอน อาจยังไม่สามารถคุยอะไรได้นะคะ คงต้องทำให้ได้ก่อนถึงจะเอามาเล่าได้ เหมือนกับฮาล์ฟมาราธอน ทำได้แล้วค่อยพูดดีกว่าใช่ไหมล่ะคะ
เมื่อเพื่อนๆมีเป้าหมายที่อยากจะเดินไปให้ถึง ก็ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนนะคะ ประเมินความเป็นไปได้ว่าเราสามารถทำให้สำเร็จได้หรือไม่ และต้องใช้เวลาเท่าไร หาก 3 เดือนดูสมรรถภาพแล้วไม่เพียงพอสำหรับการฝึกซ้อม ก็ควรเพิ่มเวลาเป็น 4 เดือน หรือ 6 เดือนไปเลย อย่ารีบร้อน เร่งรัดร่างกายจนเกินไป เกิดมันปฏิวัติขึ้นมา เพื่อนๆจะเซ็งเอา เมื่อวางแผนแล้ว ก็ทำตามแผนไป ระหว่างทางหากเกิดอุปสรรคใดๆก็ปรับแผนได้ อย่าเคร่งเครียดจนเกินไป เพราะนอกจากร่างกายจะล้าแล้ว ใจก็จะล้าไปด้วย เกิดเป็นความท้อแท้ขึ้นมา ทำใจสบายๆนะคะ เราแค่ตั้งเป้าหมายให้เป็นเหมือนไฟนำทาง ส่วนทางที่เลือกเดินไป มีได้หลายทาง แล้วเมื่อถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัยแล้ว วันนั้นเมื่อเพื่อนๆมองกลับมา ก็จะมองเห็นแล้วว่า ทางไหนที่เหมาะสมกับเราจริงๆ เป้าหมายจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเราเอง ว่าจะเป็นคนเติมคำว่า “ไม่” ลงไปเองหรือเปล่าค่ะ
ขอให้เพื่อนๆมีหนทางที่หลากหลายในการเดินไปให้ถึงเป้าหมายกันนะคะ
14 Mar 17
Recent Comments