Explore the Knowledge for Runner
เช้านี้ตื่นมาตอน 3.45 น. รู้สึกว่าอยากจะนอนต่อเสียเหลือเกิน ขนาดเมื่อคืนรีบนอนแต่หัววัน เพราะรู้ว่าต้องตื่นเช้า แต่พอถึงเวลาตื่นก็ไม่อยากลุกซะงั้น สุดท้ายต้องสะบัดผ้าห่มทิ้ง ลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบยังงัวเงีย ด้วยเหตุผลเดียวจริงๆคือมีคนรออยู่ที่งานวิ่ง
ตารางซ้อมฟูลของวันนี้คือวิ่ง Long run ให้ได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร และเมื่อวานซืนเพิ่งได้รับบิบจากพี่แนน รุ่นพี่ที่สนิทกันที่ไม่สามารถไปวิ่งได้ระยะทาง 5 ไมล์ หรือประมาณ 8 กิโลเมตรมา ซึ่งพี่แนนก็ฝากไว้กับพี่นิ่ม พี่อรที่เป็นพี่สาวที่ตั้งใจจะมาวิ่งด้วยกัน และเราก็ต้องไปรับบิบจากพี่นิ่ม พี่อร นี่แหละ
งานที่จะไปเข้าร่วมคืองาน Supersports 10 Mile International Run Series Thailand 2019 @Bangkok ที่ปล่อยตัวเวลา 4.30 น. เป็นเวลาปล่อยตัวที่เช้ามาก แต่ก็เหมาะสมสำหรับการวิ่งในเส้นทางใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพของเรา
จริงๆแล้วในกลุ่ม Run Way ที่เราร่วมอยู่ด้วย ได้ประกาศรับ Pacer สำหรับงานนี้ด้วย แต่เราตัดสินใจไม่เข้าร่วม เพราะเห็นว่าเป็นวันวิ่งซ้อมยาว อยากจะวิ่งยาวๆไปเลยทีเดียว เลยไม่ได้ลงชื่อไว้ งานนี้เลยได้มาเจอน้องๆ Pacer ในกลุ่มด้วย ระยะ 5 ไมล์ มี Pacer เวลา 55, 65 และ 75 นาที
เราไปถึงบริเวณงานที่เซ็นทรัลเวิลด์ เหลือเวลาอีก 5 นาทีปล่อยตัว เรียกว่าเฉียดฉิวมาก ได้วิ่งวอร์มจากที่ลงแท็กซี่มาหาพี่นิ่ม พี่อร แล้วก็ยืนวอร์มแบบ Dynamic stretching ตรงนั้นเลย เพราะเราอยู่แถวหลังๆแล้ว ยังเหลือที่อีกเยอะ งานนี้จะทำการปล่อยตัวนักวิ่ง 5 ไมล์ก่อน แล้วค่อยปล่อยตัว 10 ไมล์ ซึ่งมีจำนวนคนเยอะกว่ามาก
ข้อดีของการปล่อยตัวเร็ววันนี้คือ เราจะได้ไปวิ่งต่อที่สวนลุมได้โดยที่จะวิ่งได้ระยะที่ตั้งใจไว้ไม่สายมากเกินไป ไม่อย่างนั้น ถ้าเราออกมาวิ่งเอง อาจจะได้เริ่มตั้งแต่ 5.30 น. แทน เป็นคนตื่นเช้ามากไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีสถานการณ์บังคับเช่นนี้
แผนการวิ่งวันนี้คือวิ่งให้ได้ความเร็ว 7 – 8 นาทีต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นความเร็วหัวใจโซน 2 – 3 ของเรา เพื่อออมแรงให้วิ่งเก็บระยะต่อให้จบ แค่นั้นเอง ง่ายๆ
เส้นทางวิ่งง่ายมาก คือวิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ออกจากเซ็นเทรัลเวิลด์ไปทางถนนพระรามหนึ่ง เลี้ยวซ้ายไปทางถนนบรรทัดทอง เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าถนนพระรามสี่ เลี้ยวซ้ายอีกทีที่ถนนวิทยุ เลี้ยวซ้ายเข้าสุขุมวิทไปบรรจบที่เซ็นทรัลเวิลด์เหมือนเดิม
ปล่อยตัวแล้วเราก็วิ่งไปเรื่อยๆตามแผน เนื่องจากอยู่หลังสุด กว่าจะถึงจุดปล่อยตัวเวลาก็ผ่านไป 1 นาทีแล้ว พอวิ่งผ่านจุด Check point ถึงเพิ่งรู้ว่ามีการจับเวลาอย่างเป็นทางการด้วย เราร่ำลาพี่นิ่ม พี่อร ขอตัววิ่งนำไปก่อน จนมาเจอน้องๆ Pacer 75 นาที ทักทายกันแล้วก็ไปต่อ จนมาเจอ Pacer 65 นาที ทักทายน้องแล้ว แรกๆว่าจะวิ่งไปกับน้อง แต่คิดไปคิดมา วิ่งไปตามขาของตัวเองดีกว่า เลยขอตัวน้องๆออกวิ่งนำมาก่อน
ช่วงแรกที่ปล่อยตัวนักวิ่งเข้าสู่ถนนพระรามหนึ่ง เราเห็นว่าปิดถนน 100% ซึ่งทำให้นักวิ่งไม่เบียดเสียดกันมากนัก แต่ก็วิ่งเต็มพื้นที่ ยังหวั่นใจตรงถนนบรรทัดทอง ซึ่งปกติเป็นถนน 2 เลน และจะปิดได้เต็มที่คือ 1 เลน จำนวนนักวิ่งขนาดนี้คิดว่าพื้นที่วิ่งไม่น่าเพียงพอ และก็เป็นเช่นนั้น บริเวณที่เราเจอน้อง Pacer 65 นาที ตรงนั้นเป็นเส้นทางถนนบรรทัดทองพอดี น้องบอกว่าทางแคบ นักวิ่งเยอะ ทำให้รักษาความเร็วไม่ได้ ระยะทางเกินจากที่แจ้งมาอีก 300 เมตร น้องจึงต้องวิ่งเร็วกว่าความเร็วที่ควรจะเป็น เราก็ได้แต่ให้กำลังใจน้อง นี่ล่ะนะ คือความเครียดของการเป็น Pacer นั่นเอง แต่พอเลี้ยวออกถนนพระรามสี่ เราก็เห็นว่าเลนถนนค่อนข้างกว้าง มาถึงตรงนี้ นักวิ่งเริ่มวิ่งกระจัดกระจายแล้ว และเพราะเราวิ่งอยู่ความเร็วกลางๆ ถึงต้นๆ นักวิ่งจึงน้อยและไม่แออัด แบบนี้สำหรับเราจะรู้สึกสนุก และผ่อนคลาย
เรารักษาความเร็วมาเรื่อยๆจนเข้าเส้นชัย ใช้เวลาไป 1:02:40 ชั่วโมง ระยะทาง 8.30 กิโลเมตร คำนวณความเร็วเฉลี่ยได้ 7:33 นาทีต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นไปตามความเร็วที่วางแผนไว้ ไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด หากดูลำดับจากนักวิ่งทั้งหมดที่เข้าร่วมงาน เราได้ลำดับที่ 297 จากนักวิ่ง 2350 คน ได้ที่ 109 จากผู้หญิง 1344 คน และได้ที่ 73 จากกลุ่มอายุมากกว่า 35 ปีจำนวน 757 คน สรุปได้ว่ายังคงอยู่แถวหน้าๆ ช่วงนี้ยอมวิ่งช้า เพราะเป้าหมายใหญ่คือ Full marathon อีก 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ หลังจากนั้นค่อยกวดฝีเท้าใหม่
ตอนวิ่งเข้าเส้นชัย ฟ้ากำลังจะสว่าง ระหว่างเห็นตากล้องน้อยมาก และยังต้องใช้แฟลช ซึ่งช้า ทำให้จับภาพนักวิ่งไม่ทัน และเราคือหนึ่งในนักวิ่งที่พลาดทุกกล้อง แม้แต่ตอนเข้าเส้นชัยที่เจอพี่พงษ์แห่ง Papa Colorful พี่พงษ์กำลังก้มหน้าเชครูปเหมือนตากล้องหลายคนที่ผ่านมา แต่เราก็ไม่คิดอะไรมาก เดินไปถ่ายรูปกับป้ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็พอ
ได้ยินมาว่างานนี้แรกๆทางผู้จัดไม่ยอมให้มีตากล้องเข้าไปเก็บภาพ แต่ไม่รู้ยังไง ไปๆมาๆก็ยอม ความเห็นของเราก็คือ ควรให้มีนะ อย่างสถานการณ์ที่เจอ พอมาดูรูปทีหลัง รู้ได้เลยว่าตากล้องที่ตั้งแฟลชเป็นตากล้องของงาน ซึ่งจับภาพไม่ทันจริงๆ เพราะปล่อยตัวเร็วมาก ฟ้ายังไม่สว่าง นักวิ่งแถวหน้าอย่างเรา จะหวังรูปจากใคร เราเห็นตากล้องจากข้างนอกน้อยมากจริงๆ สำหรับเรื่องรูปภาพของงานนี้เราขอตัดคะแนนจริงๆค่ะ
ส่วนเรื่องน้ำ และน้ำเกลือแร่ ผู้หญิงแถวหน้าอย่างเราไม่ถือว่าขาดแคลนเลย เราไม่รู้ว่าแนวหลังจะเป็นยังไงบ้าง แต่น้องๆ Pacer ก็ไม่ได้มาบ่นอะไรในกลุ่มนะคะ แถมอาหารหลังเส้นชัยนี่เยอะมาก มีมากกว่า 15 อย่างให้เลือก แจกคูปองอาหารเป็นของคาว 2 อย่าง กับของหวาน 1 อย่าง ปริมาณต่ออย่างไม่น่าเกลียด ทานอิ่มแน่นอน เรารับข้าวไก่เทริยากิ กับข้าวต้มมาทาน ทานเลยคือข้าวต้ม เพราะเริ่มหิว และรู้ว่าต้องไปวิ่งต่อ รสชาติ เป็นข้าวต้มปลาที่ไม่หวงปลา ส่วนข้าวไก่เทริยากิ นำกลับบ้าน และแม่ทานไป แม่ไม่บ่นอะไร ถือว่าผ่าน ส่วนของหวานไม่ได้รับมา เดินไปเดินมาคูปองหล่นหายซะงั้น เลยเดินไปรับเกเตอเรทมาดื่มแทน งานนี้ดีที่ใช้เกเตอเรท เพราะไม่หวานมาก เสียดายตรงจุดให้น้ำ เกลือแร่ไม่เย็น เลยไม่ชื่นใจเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมีนมเวย์แจกด้วย เราไปรับมาดื่มตามข้าวต้มเข้าไป สบายพอดีท้อง
เราออกเดินไปสวนลุม ย่อยเสร็จแล้วก็ออกวิ่งต่อ ไปพาคนรู้ใจเดินวิ่งครึ่งรอบสวนลุม ที่เหลือก็วิ่งเก็บระยะให้ครบ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งได้ ที่เหลือเดินไปเดินมาจนกลับบ้าน หยุดนาฬิกาไว้ที่ 3 ชั่วโมง ถือว่าวันนี้เต็มที่กับชีวิตแล้ว
บางทีระเบียบวินัยมันก็ทำงานตัวคนเดียวไม่ได้ อาจต้องใช้แรงกระตุ้นอย่างอื่นช่วยด้วย อย่างในวันนี้เราได้แรงกระตุ้นจากการที่ต้องออกไปรับบิบให้ทัน ไม่อย่างนั้นจะเสียของคนที่เค้าต้องการให้เราไปวิ่งแทนได้ และสุดท้ายก็ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ แค่นี้ความสุขเล็กก็ตามมาแล้วค่ะ ภารกิจการเติมเต็มช่องว่างระหว่างความจริงกับความฝันยังคงดำเนินต่อไปด้วยการลงมือทำอย่างมีระเบียบวินัย และเราต้องมีความสุขกับมันนะคะ
ตบท้ายด้วยอีกความสุขหนึ่งหลังวิ่ง คือการได้ทานมื้อเช้าด้วยอาหารที่เราโปรด ถ้าที่สวนลุมจริงๆแล้วมีของอร่อยเยอะมากนะคะ หนึ่งในนั้นคือหมี่ผัดกระเฉดที่บริเวณสวนอาหารในสวนลุม นั่งทานเป็นมื้อเช้า จบแล้วกลับบ้านนอนได้ค่า
ขอให้เพื่อนนักวิ่งหาความสุขจากการวิ่งให้เจอด้วยการเติมเต็มช่องว่างระหว่างความจริงกับความฝันกันให้เต็มนะคะ 19 พ.ค. 2562
Recent Comments