Explore the Knowledge for Runner
พยากรณ์อากาศแจ้งผ่านมือถือว่า ภูเก็ตจะเจอฝน 90-100% ในวันที่ 9 มิ.ย. 62 นี้ ความเป็นไปได้แบบนี้ เราทำใจยอมรับให้ได้เลยดีกว่า
งาน Laguna Marathon เป็นงานอันเลื่องชื่อของภูเก็ตในเรื่องของความร้อนและเนิน เป็นอีกหนึ่งสนามที่เราอยากจะได้ลิ้มลอง เราพอจะรับมือกับแดดได้ แต่ฝนนี่สิ ถ้าตกหนักมากจริงๆก็ไม่สู้เหมือนกัน ส่วนเนินเหรอ เดี๋ยวก็รู้กัน ซ้อมเนินสักหน่อยก็น่าจะโอเค เราสมัครงานนี้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เพิ่งเปิดรับ จองเที่ยวบินและที่พักล่วงหน้า 1 ปี เลยได้ราคาค่อนข้างถูก แล้วก็จัดตารางซ้อม แต่สุดท้ายตารางซ้อมช่วงวิ่งยาวก็พ่ายแพ้ต่อภารกิจจุกจิก เลยไม่ได้วิ่งยาวเลย ซ้อมยาวสุดคือ 25 กิโลเมตร นอกนั้นใช้วิธีวิ่ง 10 กิโลเมตรติดกันหลายๆวัน แต่บอกได้เลยว่าไม่ช่วยอะไร อาการล้าต่างกันมากกับการวิ่งต่อกันยาวๆ
วันเสาร์ที่ 8 มิ.ย. เราเดินทางสู่ภูเก็ตตัวคนเดียวด้วยนกแอร์ที่เลื่อนเวลาไปมาไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง เหนื่อยใจกับนกแอร์มาก แถมเลทไป 1 ชั่วโมงอีกวันนี้ ไปรับรถของ Avis แถวก็ยาวไม่ต่ำกว่า 10 คิว ในขณะที่ร้านเช่ารถอื่น คนน้อยมาก นี่ถ้าไม่มีคูปองเหลือจากทริปอื่นและต้องรีบใช้ให้หมด ไม่งั้นจะหมดอายุ เราคงเดินไปหารถเช่ารถร้านอื่นแล้ว รวมเวลารอรถหมดไปอีก 1.30 ชั่วโมง เหมือนจะโดนแซงคิวต่อหน้า เราเลยท้วง น้องเลยอัพรถจาก Civic เป็น Accord ให้ แต่รถใหญ่ไปสำหรับเรานะ ขับนี่ต้องระวังมากๆเลย แต่ก็ยอมแล้วเพราะเราหิวข้าวมาก ตอนนั้นบ่ายโมงเข้าไปแล้ว เราขับออกมาหาร้านอาหารแถวสนามบินทาน แล้วค่อยขับเข้าที่พัก Laguna Holiday Club Phuket ซึ่งอยู่ใกล้จุดจัดงานเดินประมาณ 10 นาที
มีดราม่าเรื่องที่พักนิดหน่อย สองสัปดาห์ก่อนหน้าติดต่อมาบอกเราว่า Overbook จะย้ายเราไปโรงแรมอื่นซึ่งห่างออกไปประมาณ 10 นาที มีรถรับส่งตามเรียก ได้ห้องหรูเหมือนเดิม แต่เราไม่โอเคด้วย เพราะเราต้องการที่พักที่ใกล้งาน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการล่าช้าตอนวิ่งเสร็จ เพราะเราต้องรีบขับรถกลับมาสนามบิน คืนรถ ในช่วงบ่าย เราจองผ่าน Agoda แต่ Agoda ทำอะไรไม่ได้ บอกแต่ว่าถ้าโรงแรมทำผิดสัญญา Agoda ปรับโรงแรมหลายเท่า แต่มีตัวเลือกให้ลูกค้าอย่างเราคือเลื่อนไปวันอื่น กับหาโรงแรมอื่นให้ ซึ่งไม่ช่วยอะไรเราเลย การแก้ปัญหาของ Agoda เป็นลักษณะชุบมือเปิบ มีแต่ได้กับได้ เพราะได้ทั้งค่าปรับ และไม่ต้องทุ่มเถียงแทนลูกค้าเลย ความรู้สึกเราคือ ควรจะยืนยันให้เราไหม เราจองตั้งแต่ ก.ย. ปี 61 กลายเป็นเราต้องโทรไปที่โรงแรมแล้วก็ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าจะรับเฉพาะห้องเดิม เราไม่อยากรับความเสี่ยงเรื่องรถติด และก็คิดถูกด้วย เพราะงานนี้เท่าที่ดู ไม่มีที่จอดรถ หรือมีก็น้อยมาก ถนนเข้ามาในบริเวณงานมีขนาดเล็ก และเมื่อถึงเวลางาน จะโดนปิดไป 1 เลน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้เราไม่ยินยอมที่จะยกห้องที่เราจองมานานมากให้ใคร ทางโรงแรมต้องรับเรื่องไปจัดการเอาเอง ทางโรงแรมแจ้งว่าใช้ระบบ First come. First serve. แต่เท่าที่เห็น โรงแรมไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องราวที่จะบอกกล่าวเพื่อนๆ หากจองห้องพักแล้ว ยังไงลองโทรเชคอีกทีก็ดี เรานิ่งนอนใจเองแหละ
กลับมาที่งาน เรานอนเล่นในห้องพักสักครู่เพราะฝนตกหนัก ไม่มีทีท่าจะซาเลย เพื่อนไลน์มาทักว่ายังไม่ไปรับบิบเหรอ เรานึกว่าเค้าเปิดให้ไปรับถึงเย็น แต่ก็เปิดเวปเชคเวลาอีกที ปรากฏว่าต้องไปรับก่อน 16.00 น. เลยต้องรีบออกไป ทางโรงแรมมีรถ Shuttle bus รับส่ง เราเลยมารอขึ้นรถบัส ถึงเพิ่งรู้ว่าเย็นวันเสาร์มีการวิ่งแข่งขันระยะ 2.5, 5 และ 10 กิโลเมตร ทางผู้จัดจึงให้รับบิบถึงแค่ 16.00 น. รถไปส่งให้ยังค่อนข้างไกลจากบริเวณงาน เรายังต้องเดินต่ออีก 5 นาที สรุปแล้วถ้าใครจะมางานนี้ เราแนะนำว่าควรจะหาที่พักที่อยู่ใกล้กับงานไม่เกิน 2 กิโลเมตรจะดีที่สุดค่ะ เพราะเพื่อนมางานวิ่ง 10 กิโลเมตร ต้องหยุดรถที่ด้านนอกห่างไป 3 กิโลเมตรเพื่อวิ่งเดินเข้ามาในงานค่ะ
เราไปรับบิบได้ทันเวลา ระบบรับบิบเป็นไปอย่างรวดเร็ว เราชอบ Concept ไม่ใช้ถุงพลาสติกของเค้า เพราะเค้าแจกถุงผ้า และแพคเสื้อกับบิบมาให้ในถุงกระดาษ เสื้อจะถูกรัดด้วยกระดาษสีน้ำตาลบอกขนาดมาเรียบร้อย
เดินดูงาน Expo เล็กน้อย เราว่าร้านขายของน้อยไป ไม่สะใจ เราจัดเสื้อที่ระลึกกับหมวกมา มาเห็นของจริงแล้วสวยกว่าในเวบไซท์มาก
เดินงานเสร็จก็สำรวจพื้นที่เล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับห้อง กะว่าไปทานข้าวเย็น แล้วจะได้รีบนอน ระหว่างทางเดินกลับ ได้ยินเสียงเรียกพี่หมอจอย หันไปเห็นน้องมิ้วนั่งอยู่ข้างทาง เพิ่งรู้ว่าน้องก็มาถ่ายรูปนักวิ่งกับเค้าด้วย น้องมิ้วเป็นน้องที่อยู่ในกลุ่ม We Run You Run และมีวิ่งฟูลเหมือนกันพรุ่งนี้ วันนี้เลยมานั่งถ่ายรูปนักวิ่งฟันรัน กับมินิไปพลางก่อน เราเลยนั่งอยู่ด้วย เกาะติดอาชีพตากล้องเล็กน้อย พบว่าเมื่อยแขนเมื่อยขากันพอสมควร ส่วนเราก็ส่งเสียงเชียร์เป็นพักๆ พอถึงเวลาอาหารเย็น เราก็ขอตัวไปเตรียมตัวนอนแล้ว
เราเตรียมตัวเตรียมของเตรียมเป้เรียบร้อยแล้ว ก็ล้มตัวลงนอน หลับได้ไม่เต็มตาเพราะตื่นเต้น ก่อนได้เวลานาฬิกาปลุก เราได้ยินเสียงฝนตกหนัก ก็คิดว่าเอาแล้ว ยังไงดี ถ้าอยู่กรุงเทพ อาจไม่ออกไปวิ่ง เพราะไม่คุ้มเวลาเป็นหวัดขึ้นมา แต่นี่เรามาไกลถึงภูเก็ต จะไม่วิ่งก็เสียดายโอกาส เสียดายเวลา เสียดายเงิน รอตอนใกล้ปล่อยตัวอีกทีว่ายังไง เราลุกขึ้นมาแต่งตัว ทานข้าว 1 จานก่อนเวลานาฬิกาปลุก ตอนที่ออกจากห้องเพื่อจะเดินไป ก็พบว่าฝนหยุดแล้ว เหลือพรำๆเล็กน้อย เราออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนๆนักวิ่งคนอื่นที่มุ่งหน้าสู่จุดปล่อยตัวด้วยกัน
ตอนใกล้ปล่อยตัวฝนก็เริ่มหนาเม็ดขึ้น แต่ไม่หนัก เราก็ยังคิดว่าขอให้อยู่เท่านี้เถอะ ยังพอวิ่งไหว เราเองลงชื่อไว้ว่าปล่อยตัว Block E แต่เราไปยืนหลังสุดเลย เพราะมีเต็นท์หลบฝน ยืดเหยียดจนปล่อยตัวนั่นแหละ เราต้องยืนรอ และออเดินไปด้วยกันกับเพื่อนนักวิ่งอีกประมาณ 2 นาที กว่าจะถึงจุดปล่อยตัวจริง บรรยากาศปล่อยตัวค่อนข้างคึกคัก นักวิ่งก็คึกคัก แน่นเต็มพื้นที่ กว่าจะออกวิ่งได้ก็ผ่านไปเกือบกิโลเมตรแล้ว ได้ยินข่าวว่าวันนี้พี่ตูนมาวิ่งกับเราด้วย แต่เราคงไม่ได้เจอ ความเร็วเราสองคน เทียบกันแล้วมันคนละขั้นกัน พี่เค้าไวกว่าเยอะ
แม้เราจะดูเส้นทางและความชันมาแล้ว ยังไงก็จินตนาการได้ไม่เท่าของจริง เพื่อนๆที่เราเจอและถามถึงเรื่องเนิน ส่วนใหญ่จะบอกว่าเนินซึมๆ เราเองไม่กลัวเนินซึม แต่ไม่คิดว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้ รวมกับฝนที่ตกลงมาไม่ลืมหูลืมตาตอนกิโลเมตรที่ 10 ซึ่งเป็นเส้นทางที่เริ่มมีเนิน จากช่วงแรกที่ค่อนข้างเป็นทางราบ เล่นเอาเราจิตใจเริ่มไม่มั่นคง ร่ำๆอยากจะหยุดวิ่งซะงั้น เรื่องถ่ายรูปยังไม่ต้องพูดถึง เพราะทั้งมืด ทั้งเปียก ก้มหน้าก้มตาวิ่งกันไป ตรงทางที่ฝนตกหนัก เหมือนวิ่งเข้าไปอยู่ในป่า ต้นไม้สองข้างทางค่อนข้างสูงใหญ่คล้ายป่ายาง ยิ่งสร้างบรรยากาศความน่ากลัวไม่น้อย นี่ถ้าวิ่งคนเดียวคงน่ากลัวพิลึก
พอวิ่งพ้นทางเหมือนป่าออกมา ก็เจอถนนโล่งกว้าง วิ่งไปอีกสักพัก น่าจะ 3 – 5 กิโลเมตร ฝนก็เทลงมาอีกห่าหนึ่ง หนักชนิดที่ได้ยินเสียงลมพัดมาอย่างแรง และเสียงนักวิ่งชายร้องตกใจ เรายังไม่ทันรู้ว่าอะไร ก็ตัวปลิวเหมือนขาลอยขึ้นจากพื้นนิดหนึ่ง ลมแรงมากจริงๆ แต่โชคดีที่เป็นลมพัดมาด้านหลัง ไม่ใช่แรงต้านการวิ่งแต่อย่างใด และช่วยให้วิ่งได้ดีขึ้นด้วย เราก็กลัวๆลมฝนแรงอย่างนี้นะ แถมอยู่ที่โล่งด้วย กะไว้ว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะขอวิ่งเข้าไปหลบบ้านชาวบ้านแถวนี้แหละ ฮ่าๆ
เส้นทางจากตรงนี้ไปจนถึงกิโลเมตรที่ 20 – 21 ขึ้นๆลงๆบ้าง เราสามารถวิ่งคุมเวลาได้อยู่ เจอเนินที่ชันมากหน่อย เราก็จะยอมเดิน เพราะอยากเก็บแรงไว้ตอนครึ่งหลัง เรากำลังวิ่งมุ่งหน้าไปที่หาดในยาง ซึ่งมีการวิ่งขนานหาดตรงเข้าไปสุดหาดที่ไม่มีถนนวิ่ง กลายเป็นดินนองด้วยน้ำ เหมือนไปวิ่งเทรลเลย เราเองคอยหลบน้ำตลอด ไม่อยากให้รองเท้าน้ำหนักขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าโดนโคลนด้วยจะเป็นอันจบ เพราะโคลนก็เหมือนกับไปเคลือบติดกับผ้าของรองเท้าและเกาะไม่ปล่อยจนทำให้เกิดน้ำหนักที่มากขึ้นได้ และนั่นหมายถึงแรงขาและเท้าที่ต้องใช้มากขึ้นด้วย
ลมที่หาดนี่แรงมาก พัดมาทางด้านข้าง ทำให้ตัวเราเทไปอีกข้าง ต้องตั้งใจวิ่งฝ่าไปทางที่ลมพัดมา จึงจะวิ่งตรงได้ แต่เราก็วิ่งอยู่ที่เส้นทางเปิดนี่ไม่นาน ประมาณ 1 กิโลเมตร และวิ่งไปสุดทางหาดอีกทางที่มีต้นไม้ข้างทาง เลยช่วยบังลมได้ดี เราวิ่งวนออกมาทางเดิมกับที่วิ่งมาเมื่อกิโลเมตรที่ 15 – 20 มันจะกลายเป็นกิโลเมตรที่ 23 – 30 ของเรา
พอถึงทางแยกออกขวามือแถวกิโลเมตรที่ 30 นั่นคือเส้นทางชุดเนินชุดสุดท้ายที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจออีก ตอนนั้นขาเริ่มล้าได้ที่แล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่วิ่งมาถึงเลขสาม สำหรับเรามันคือเลขที่สวยงาม เพราะให้ความรู้สึกว่าถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว สิ่งเดียวที่จะมาหยุดเราได้คือ Cut off time เท่านั้น เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้เต็มที่ก่อน จะตัดสินใจว่าร่างกายนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
เส้นทางวิ่งตลอดทางที่ผ่านมา มีน้ำ และเกลือแร่ให้อย่างเพียงพอ ขาดเจลบางสถานีเท่านั้น แต่เราไม่ทานเจลเพราะท้องไม่รับ เราเลยไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ นอกจากนั้นก็มีกล้วยหั่นไว้แล้ว แตงโมให้ทานมากมาย ฝรั่งรสชาติหวาน อันนี้เราชอบมากเป็นพิเศษ นอกจากหวานแล้วยังอยู่ท้องด้วย เรื่องอาหารสำหรับเราไม่ต้องห่วง เพราะเตรียมส่วนตัวไว้มากมาย ประสบการณ์มาราธอนที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่าอย่าปล่อยให้ท้องหิว เพราะมันบั่นทอนพลังงานและกำลังใจเรามากๆ เรามีทั้งกล้วยตาก ขนมปังชิ้นเล็กๆ อยู่ที่เป้น้ำที่เราไม่ได้ใส่ถุงน้ำมาด้วย ใส่แค่กระบอกน้ำเล็กๆไว้ดื่มเวลากระหายระหว่างสถานีน้ำ
ทีเด็ดของงานนี้ที่ได้ยินนักวิ่งชมกันมากคือ น้ำมะพร้าวแจกเป็นลูกๆกันเลย สำหรับเราแล้วเกลือแร่เกเตอเรทถือว่าเพียงพอ และไม่อยากหยุดนานจึงไม่ได้รับมาดื่ม เราเห็นลูกมะพร้าวถูกทิ้งโดยนักวิ่งมากมาย แอบเสียดายเนื้อมะพร้าวข้างใน น่าจะมีถังขยะแยกประเภท เผื่อเอาไปทำอะไรอย่างอื่นต่อได้
นอกจากผลไม้ที่มีให้อย่างเต็มที่แล้ว ยังมีไอติมถังด้วย อันนี้ชอบมากจริงๆ อยู่ตรงกิโลเมตรที่ 35 คิดว่าจำไม่ผิดนะ เรายังคิดว่าที่เอามาตั้งตรงนี้เพราะเป็นทางก่อนขึ้นเนิน และเป็นระยะที่น่ากลัวสำหรับนักวิ่ง
ในแต่ละสถานีวิ่ง จะมีฟองน้ำใส่ในถังน้ำเย็น เราใช้เป็นที่พึ่งพาตลอด เราเคยคิดว่าการวิ่งท่ามกลางสายฝนได้เปรียบกว่าการวิ่งท่ามกลางแสงแดด เพราะอุณหภูมิร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้นน้อยกว่า ทำให้สมรรถภาพการวิ่งดีกว่า จนอาจจะไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ลดความร้อนแบบง่ายๆเหล่านี้ แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า การวิ่งคือการออกกำลังกายชนิดหนึ่งที่พอถึงจุดหนึ่งร่างกายจะผลิตความร้อนออกมามาก ยิ่งวิ่งนานก็ยิ่งร้อน ไม่ว่าอากาศนอกร่างกายจะเย็นชื้นขนาดไหนก็ตาม การได้บีบน้ำเย็นๆผ่านกลางศีรษะ หลังคอ ให้ไหลผ่านลำตัวเลยกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งระหว่างการวิ่งไปเลย งานนี้เป็นอีกงานที่ใช้แก้วกระดาษ แอบเห็นว่ามีแก้วพลาสติกบ้างแต่น้อยมาก คิดว่าแก้วกระดาษหมดเลยนำออกมาใช้แทน
เราวิ่งต่อมาเรื่อยๆ ผ่านพ้นกิโลเมตรที่ 35, 36, 37 ไปอย่างเชื่องช้า เนินเหมือนไม่เคยจะหมดไป สิ่งที่เราทำประจำก็คือ วิ่งจำนวนหนึ่ง เดินจำนวนหนึ่ง ตามความล้าของขาเรา เช่น ล้าไม่มาก ก็วิ่ง 1,000 ก้าว เดิน 100 ก้าว เหนื่อยมากขึ้น ก็ลดจำนวนก้าวที่วิ่งลง แต่ให้เดินเท่าเดิมนะ
มาถึงที่กิโลเมตรหลังๆ เราเดินตอนขึ้นเนิน และวิ่งลงเนินมา บางทีวิ่งลงเนินมาได้เพียง 100 ก้าว ก็ต้องเดินขึ้นเนินแล้ว บางทีรู้สึกง่วงนอนเหมือนอยากจะลงนอนตรงนั้นให้ได้ แล้วสักพักก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าหลับในก็ได้นะเนี่ย จนวิ่งมาถึงหาดลายันมาแล้ว ซึ่งก็ใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว เราวิ่งเข้าเขตลากูน่าเมื่อกิโลเมตรที่ 40 แล้ว มาถึงจุดนี้ ทั้งเนิน ฝน และลมก็ยังคงกระหน่ำอยู่ เนินสุดท้ายที่เจอก็คือเนินหน้าห้องพักเราเอง อันนี้รู้ดีอยู่แล้ว เพราะเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ
ความรู้สึกในช่วง 2 กิโลเมตรสุดท้ายน่ะเหรอ คำว่าไม่ไหวมันไม่มีเหลืออยู่ในหัวแล้ว เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องไปให้ถึง มาทบทวนดูแล้วกลับไม่พบว่ารู้สึกอะไรเลย อาจเป็นความคิดแค่ว่า “เอ้อ ใกล้ถึงแล้วสินะ” อะไรประมาณนั้น ตรงบริเวณตั้งแต่กิโลเมตรที่ 35 มา มีตากล้องกระจายมากมาย เราก็เล่นกล้องไปเรื่อยๆ ให้ไม่คิดอะไรด้วย
แต่พอวิ่งผ่านสามแยกหนึ่ง มีฝรั่งคนหนึ่ง น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มายืนเคาะกระดิ่งให้กำลังใจ ตอนที่เราวิ่งผ่านเค้าบอกว่า อีก 600 เมตร เท่านั้น เราก็พูดขอบคุณไป นั่นเป็นกำลังใจแรกที่เรารับรู้ได้ อาจเพราะสมองงงๆไม่รับรู้อะไรมาสักพัก มาได้ยินคำพูดนั้นก็คิดในหัวว่า “อีก 600 เมตรเองเหรอ” ได้เวลาแล้วสินะ เวลาที่จะได้ก้าวขาข้ามผ่านเส้นชัย
เราวิ่งลงเนินมาและเลี้ยวขวาอีกเล็กน้อย เราก็เห็นเส้นชัยอยู่ตรงหน้า ตอนที่พื้นดินโคลนเปลี่ยนเป็นผ้าปูบนพื้นสีเทาลายทางยาวเป็นทางวิ่งพุ่งตรงสู่เส้นชัย เราเห็นเพื่อนนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้า เห็นตากล้อง เห็นคนที่ยืนตบมือให้อยู่ข้างทาง และเห็นพิธีกรหญิงที่ส่งเสียงเชียร์ เราก็เริ่มยิ้มออก และเริ่มรับรู้ว่าเส้นชัยอยู่ข้างหน้าแน่ๆแล้ว เราวิ่งก้าวข้ามเส้นชัยพร้อมรอยยิ้ม ตอนที่เดินไปรับเหรียญและเสื้อ Finisher ยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาเองอย่างไม่รู้ตัว เราไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเราเครียดมาตั้งแต่ฝนตกหนักครั้งแรก คำถามมีมากมายว่าจะวิ่งจบได้อย่างไรกับอีก 32 กิโลเมตรที่เหลือ แต่เราก็เบี่ยงเบนใจที่ย่ำแย่มาได้ด้วยสิ่งต่างๆรอบตัว หรือแม้แต่การนับก้าววิ่งได้เป็นหมื่นๆก้าว ต้องขอบคุณกำลังใจเล็กๆน้อยๆข้างทาง ที่ส่งเสียงมา ทั้งจากตากล้อง ทั้งจากนักวิ่งกันเอง ทั้งจากชาวบ้านข้างทาง คุณยายหน้าบ้าน อีกหนึ่งครอบครัวที่นำขนมและน้ำมาวางให้หยิบได้ และจากเจ้าหน้าที่ตามจุดให้น้ำ ที่ทำให้เรารอดพ้น 32 กิโลเมตรที่เหลือมาได้อย่างปลอดภัย น้ำตาที่ไหลก็คือน้ำตาแห่งความดีใจนั่นแหละ คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้จริงๆ
แม้แต่ตอนที่วิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ฝนก็ยังคงตกลงมาหนาตา จนเราไม่สามารถยืนรอรับอาหารได้ จึงเดินกลับห้องอีกกิโลนิดๆ พร้อมทาน Snack ที่ตัวเองเตรียมมาไปด้วย เราอาบน้ำ เก็บของเตรียมกลับ เวลายังเหลือก่อนเชคเอาท์ จึงล้มตัวลงนอนได้เกือบชั่วโมง ตื่นมาจึงค่อยสดชื่น ไปเชคเอาท์ และทานอาหารเที่ยงที่โรงแรมเลย ก่อนจะขับรถกลับไปคืนที่สนามบิน และรอเวลากลับ
ขณะรอเครื่องออก เราได้มานั่งดูสถิติตัวเอง จริงๆแล้วเราตั้งใจว่าจะวิ่งให้ได 5:30 ชั่วโมง แม้จะซ้อมมาดี แต่มาเจอเนินที่เยอะจนกะแรงไม่ถูก และฝนที่ตกมาให้หนึบหนับตัวและหนักขึ้น แม้เล็กน้อยก็จะมีผลต่อการวิ่งระยะไกลทั้งนั้น ทำให้เวลาหลุดมาที่ 5:50 ชั่วโมง รวมกับเวลา 2 นาทีที่เสียไปตอนปล่อยตัว เลยได้สถิติอย่างเป็นทางการที่ 5:52:59 นาที ได้ลำดับรวมทั้งหมด 1458 จากนักวิ่งมาราธอน 2803 คน หากดูเฉพาะผู้หญิงได้ลำดับที่ 289 จาก 649 คน และถ้าเป็นช่วงอายุเดียวกัน ก็ได้ที่ 129 จาก 263 คน เรื่องลำดับสำหรับเรา เราไม่ได้สนใจ แต่พอรู้ว่าอยู่ประมาณกลางๆก็ดีใจ ที่เราเองก็ยังทำได้ดีเกินคาด แม้จะทำไม่ได้ตามคาด
เส้นทางวิ่งของงานนี้ถือว่าโหดใช้ได้ตามคำเล่าลือจริงๆ ระยะค่อนข้างเป๊ะ เหมือนมาเลยๆที่กิโลท้ายๆสัก 200 เมตร อันนี้ถามเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเกินเหมือนกัน มีป้ายบอกทางชัดเจน เจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าชัดเจน มีบางพื้นผิวที่เป็นดินเป็นหิน ทำให้วิ่งลำบากพอสมควร
นอกจากนั้นเรื่องของห้องน้ำนี่ ไม่เห็นเลย ไม่รู้ว่าเค้าได้บอกว่าให้แวะเข้าตรงไหนบ้าง ที่แน่ๆเราไม่เห็นห้องน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเริ่มปวดปัสสาวะที่ 10 กิโลเมตรสุดท้าย แต่ต้องทนมาจนถึงเส้นชัย เพราะหาไม่เจอ จะขอเข้าของชาวบ้านก็ไม่กล้า อีกอย่างคือ ไม่รู้ว่าเพราะฝนตกหรือเปล่า เราไม่เห็นหน่วยแพทย์สักเท่าไหร่ ได้ฉีดสเปรย์ครั้งเดียว ที่เหลือต้องฉีดของตัวเอง หรือไม่ก็เอาของตัวเองฉีดให้คนอื่น เราเห็นมีรถพยาบาลเป็นจุดๆ แต่ละจุดมีเจ้าหน้าที่นั่งหลบๆ คิดว่าคงหลบฝน ไม่ได้ออกมายืนดูนักวิ่ง เผื่อใครจะเรียกให้ช่วย หรือเผื่อใครเป็นอะไรล้มไปตรงนั้น ก็คงอาจจะต้องปรับปรุงกันไป จริงๆแล้วอยากได้บรรยากาศของจอมบึงมาไว้ที่ลากูน่านะ คงจะสนุกดีค่ะ
เรื่องอากาศตอนที่วิ่งก็เรียกว่าสบายๆเลย เพราะฝนตกนั่นเอง ส่วนเนินก็เป็นไปอย่างที่ได้รับข้อมูลจากทางงาน แค่ไม่คิดว่าเนินจะกระจายขึ้นลงขนาดนี้ แต่ก็ทำให้เป็นอุปสรรคที่ต้องผ่านไปให้ได้
ตอนที่เราขึ้นเครื่อง เราหลับไปอย่างคนหมดสติเลยทีเดียว ตื่นมาอีกที มองไปนอกหน้าต่าง เครื่องกำลังจะ Landing กัปตันยังไม่เปิดไฟรัดเข็มขัด เลยรีบยกมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ เก็บภาพรุ้งกินน้ำที่จริงๆเราเห็นครบวงจากปีกเครื่องบินฝั่งหนึ่งอ้อมมาที่ฝั่งนี้ แต่เนื่องจากหน้าต่างเล็กเลยถ่ายมาได้ฝั่งเดียว เป็นรุ้งกินน้ำที่มาถูกที่ถูกเวลากับสภาพจิตใจ เหมือนเป็นรางวัลให้กับความอดทนของเราในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาที่เราตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อมาฟูลมาราธอนครั้งนี้ เหมือนมันกำลังบอกว่า เฮ้ ผ่านไปแล้วนะ มาดูอะไรสวยๆเป็นรางวัลดีกว่า มันก็แค่นั้นแหละ สำหรับชีวิตนักวิ่ง ความสวยงามของสนามมาราธอน คือความสำเร็จที่รออยู่ปลายทาง เหมือนกับฝนที่ตกหนักมาแล้ว สุดท้ายก็จะให้รางวัลด้วยสายรุ้งงาม
ขอให้เพื่อนนักวิ่งได้รับรางวัลจากการวิ่งที่สวยงามกว่าสายรุ้งกันนะคะ
9 มิ.ย. 62
ขอขอบคุณภาพบางส่วนจากเพจ Phuket Marathon ค่ะ
Recent Comments