ความทุกข์เกิดขึ้นจริงเพียงครั้งเดียว แต่ความคิดเกิดวนเวียนซ้ำซากนับพันครั้ง (10 Hours Ultra Marathon)

เพิ่งรู้ตัวว่าเวลาผ่านมา 2 เดือนแล้วนับจากงานวิ่ง “Bumrungrad 10 Hours International Ultra Marathon Suanpruek99 – 2019” จากความตั้งใจว่าจะเขียนรีวิวงานวิ่งทุกงาน เลยต้องมาจับแป้นคีย์บอร์ดลงมือรีวิวย้อนหลังค่ะ

เราไปร่วมงานนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากได้ร่วมงานปี 2018 ไปแล้ว และประทับใจบรรยากาศอบอุ่นของนักวิ่งและกลุ่มนักวิ่งต่างๆในสนาม จนถึงกับตั้งเป้าว่าจะมาทุกปี และหากเป็นไปได้ก็อยากจะได้วิ่ง Solo สักครั้งในชีวิต แต่ปีนี้เรามีเป้าหมายวิ่งฟูลมาราธอนในเดือนมิถุนายน และงานนี้อยู่ก่อนงานฟูล จึงต้องข้ามการวิ่ง Solo ไปวิ่งผลัดแทนก่อน ปีหน้าค่อยตั้งใจซ้อมมาใหม่

เราเริ่มตามหาผู้ร่วมทีม เข้าไปดูในกลุ่มวิ่งของโรงพยาบาล พบว่ายังมีทีมที่ขาดนักวิ่งอยู่ 1 ทีม มีน้องก้อย และน้องแจนอยู่แล้ว เราเลยเป็นคนที่ 3 และมีน้องดาวตามเข้ามาสมทบเป็นคนที่ 4 เป็นอันว่าครบทีม นี่คือทีมน้องพยาบาล 3 คนที่อยู่กันคนละแผนก ไม่เคยเจอกันมาก่อน คนหนึ่งอยู่ Academy อีกคนอยู่ ICU และคนสุดท้ายอยู่ ER ส่วนเราแหวกแนว เป็นนักกายภาพบำบัดหนึ่งเดียว เราตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา และใช้ชื่อทีมว่า “หวานเย็นรันนิ่ง” ด้วยแนวคิดกลุ่มเราคือ วิ่งไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พอ ไม่สนเวลาจ้า

เนื่องจากปีที่แล้วเป็นปีแรกที่ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่เราทำงานอยู่เริ่มเป็นสปอนเซอร์หลักของงานนี้ เราเลยได้โควตานักวิ่งมาวิ่งฟรี และแต่ละคนที่มาก็ไม่เคยมาร่วมงาน เลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ถึงเพิ่งรู้ว่ามันร้อนมาก มากชนิดเพลียขนาดไหนก็นอนไม่หลับ ปีนี้เราเลยคิดใหม่ทำใหม่ เตรียมตัวพร้อมก็จะสบายไปกว่าครึ่ง

แรกๆเราเริ่มคุยกันในหมู่นักวิ่งก่อนว่าจะลงขันเตรียมซื้อของอะไรบ้าง คุยไปคุยมา ผู้ใหญ่ใจดีของโรงพยาบาล ช่วยจัดการให้หมดเลย ตั้งแต่เริ่มมีเต็นท์สำหรับนักวิ่งของโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยข้าว ขนม น้ำแข็ง น้ำผลไม้ น้ำเปล่า และน้ำเกลือแร่ เพราะทางโรงพยาบาลต้องจัดให้กับทีมแพทย์และพยาบาลที่มาปฏิบัติหน้าที่ให้กับงานนี้ด้วย เลยพ่วงพวกเราเข้าไปด้วย ทีนี้เราก็เริ่มสบายใจแล้ว ยังคุยกันว่าจะหาซื้อเต็นท์เปลี่ยนชุดมาใช้เปลี่ยน จะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำเปลี่ยน และน้องแจนก็เป็นคนจัดหามาให้ เนื่องจากเรางานยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูเลย นอกจากนั้น ยังมีขนมจากน้องๆมารวมๆกันอีก เลยทำให้เรื่องอาหารหายห่วงกันไปได้เลย

ถึงวันงานเรานัดมาเจอกัน 5.00 น. รับเสื้อรับบิบกันเรียบร้อย บิบเรากลายเป็นผลัด 3 เลยขอเปลี่ยนกับน้องให้เป็นผลัด 1 ติดบิบให้เสร็จก็เป็นอันพร้อม พอเห็นเต็นท์ของเราเท่านั้นก็แทบจะก้มกราบคนเตรียมให้ คือนอกจากเต็นท์แล้ว ยังมีพัดลมตัวใหญ่ให้ 2 ตัวด้วย เรารับรู้อากาศร้อนของปีที่แล้วได้ดี แถมปีนี้อากาศร้อนกว่าปีที่แล้วด้วย การได้พัดลมมายิ่งทำให้เหมือนได้อยู่บนสวรรค์อย่างนั้นเลย เราเริ่มตั้งโต๊ะ วางขนม จัดที่ทางวางน้ำ มีหมอใจดีจากโรงพยาบาลนำกระติกน้ำแข็งมา ผู้จัดเตรียมเสื่อไว้ให้ด้วย เราเลยได้ที่นอนแบบสบายๆในมุมเล็กๆมุมหนึ่งของสวนไปเลยค่ะ

เราวิ่งเป็นผลัดแรกของทีม ซึ่งจะปล่อยตัว 6.00 น. พอจัดที่ทางเสร็จ เราเลยรีบยืดเหยียดตัว วอร์มอัพ แล้วก็ไปรายงานตัวเตรียมปล่อยตัว ทีมเรามากันพร้อมแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย ว

ันนี้เราไม่ฟิต แถมเราเป็นคนกลัวอากาศร้อนด้วย ปีที่แล้วเราวิ่งไป 10 รอบในเวลา 2.30 ชั่วโมง ปีนี้เรากะไว้ว่าไม่รีบ เอาสัก 8 รอบก็พอใจแล้ว แถมคนในทีมก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับการวิ่งอะไรมากเราเลยไม่กดดันเท่าไหร่ อาศัยความได้เปรียบของผลัดแรกที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นสูง 1 ชั่วโมงแรกวิ่งรักษาความเร็วให้ได้มากที่สุด แล้วหลังจากนั้น เมื่อแสงแดดก็เริ่มมาก็ให้เป็นไปตามสภาพในความรู้สึกว่าทำให้ดีที่สุด

หากวิ่งทางด้านจุดปล่อยตัว จะค่อนข้างร้อน แต่ถ้าวิ่งไปอีกด้านที่ขนานกัน จะมีร่มเงามากหน่อย เราสังเกตว่าปีนี้คนน้อยกว่าปีก่อน คิดว่าคงเพราะอากาศปีนี้ร้อนอบอ้าวกว่าปีก่อนมาก แต่ซุ้มของกลุ่มนักวิ่งทั้งหลายก็ยังคึกคัก เราหวังฝากท้องน้ำดื่มกับเต็นท์ครูดิน เพราะอยู่หัวมุมของสวน เพราะเต็นท์เราไม่มีใครคอยเติมน้ำ เราไม่ได้เตรียมกระบอกน้ำของตัวเองมา แต่ของกินเราฝากท้องที่เต็นท์เราได้ นอกนั้นฝากท้องที่เต็นท์ต่างๆ เราจำได้ว่าปีที่แล้วมีมากมาย ปีนี้ไม่รู้จะมีอะไรบ้าง 

เราวิ่งผลัดเช้า พบว่าหลายเต็นท์ อาหารยังมาไม่ถึง ทำให้เราวิ่งถึงรอบท้ายๆแล้ว ถึงค่อยเห็นว่ามีของกินอะไรบ้าง เราตัดสินใจวิ่งให้จบ แล้วเดินเล่นอีกรอบ เพื่อกิน!!

อีกหนึ่งข้อเสียของการวิ่งผลัดเช้าคือ ตากล้องน้อยมากๆๆๆ เราแทบไม่มีรูปเลย พี่ตากล้องที่รู้จักบอกว่า ส่วนใหญ่ไปถ่ายงานอื่นตอนเช้าก่อน เสร็จแล้วค่อยมาถ่ายที่นี่ต่อ เพราะที่นี่มีทั้งวัน เราก็เศร้าไป ปีที่แล้วพี่แจ็ค ผู้ใหญ่ใจดีของโรงพยาบาลมาช่วยเก็บภาพให้ แต่ปีนี้พี่แจ็คติดภารกิจ มาได้แค่ช่วงบ่าย เราก็เลยยิ่งเศร้าใหญ่เลย

เราจบผลัดเราจำนวน 9 รอบ ก่อนเวลาสัก 5 นาที เราค้นพบว่า ความฟินเดียวที่เกิดท่ามกลางความร้อนคือการบีบน้ำเย็นราดหัว โดยพึ่งฟองน้ำของเต็นท์ครูดิน วิ่งผ่านที บีบที เย็นสบายมาก วนกลับมารอบหนึ่ง ตัวเริ่มร้อนใหม่ ก็บีบใหม่อีก จากปีที่แล้วที่ไม่ได้บีบเลย เห็นเค้าบีบเอาๆ เลยเอาบ้าง เฮ้ย สบายตัวดีนี่หว่า นอกจากนั้น ซุ้มก่อนเข้าเส้นชัย ก็มีเป็นขันตักในถังแช่น้ำแข็งมาเลย นี่ก็ไม่พลาดตักราดหัวซะเลย ช่วยเรื่องวิ่งได้มากจริงๆ

เราส่งไม้ผลัดสองให้น้องก้อยขาแรง แล้วก็เดิน 1 รอบสวน เพื่อหาของกิน ได้หมูปิ้งไป 1 ไม้ ได้ไอศกรีม ไป 1 แท่ง กะจะไปกินข้าวไข่เจียว นึกว่ามีเหมือนปีที่แล้ว แต่ปีนี้ไม่มีจ้า มีข้าวผัด กับก๋วยเตี๋ยวเราเลือกก๋วยเตี๋ยวมานั่งทานริมน้ำ จนอิ่มหนำ ก็เดินกลับมาที่เต็นท์

ปีนี้ดี แม้จะร้อน แต่มีลมพัดเย็นสบาย ที่เต็นท์ของเรา มีพัดลมเป่าสบายๆ เต็นท์ที่น้องแจนซื้อมาเผื่อเปลี่ยนชุดกัน กลายเป็นที่บังแดดที่ดีมาก เราเลยไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำแทน นักวิ่งที่มาร่วมงานแม้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่สายตามุ่งมั่นนี่ไม่แพ้กัน ปีนี้อากาศโดยรวมร้อนกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก ปลายเมษายนอย่างนี้จึงยังร้อนเหมือนกลางเมษายนอยู่เลย ถึงแม้จะดูนักวิ่งบางตา แต่บรรยากาศคึกคักก็ยังคงอยู่ เรานั่งคุยเล่นกับน้องๆไป กินขนมปังแสนอร่อยไป อยากจะงีบ แต่สุดท้ายตัดสินใจกลับก่อน ต้องไปทำภารกิจกับที่บ้านต่อ ฝากน้องๆวิ่งกันต่อไป และรอลุ้นดูผลกันตอนเย็น

งานนี้ทีมหวานเย็นรันนิ่งของเราทำระยะไปได้ 34 รอบ รวมกันแล้วก็ประมาณ 68 กิโลเมตร ไม่เลวเลยจริงๆ ได้ลำดับที่ 44 จาก 82 ทีม อยู่กลางๆอย่างนี้ ใช่ย่อยนะเนี่ย น้องแจนเก็บเหรียญมาให้เราชื่นชมที่โรงพยาบาล ปีที่แล้วไม่มีเหรียญให้ มาปีนี้ มีเหรียญให้พร้อมสรรพค่ะ

จบงานนี้ไปแบบสบายๆ ส่วนตัวเราได้ระยะทาง 18.79 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 2:21:30 ความเร็วเฉลี่ย 7:32 นาทีต่อกิโลเมตร หัวใจเข้าสู่โซน 5 เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเข้าใจในจุดนี้เหมือนกัน คือเราก็ไม่เหนื่อยมากจนต้องหอบต้องหยุดเดิน คอยวิ่งประคับประคองความรู้สึกไปเรื่อยๆ เลยคิดว่าอากาศร้อนน่าจะมีส่วนกระตุ้นหัวใจได้มากจริงๆ 

เราคาดหวังว่าปีหน้าจะได้ลองลง Solo สักครั้งในชีวิต คงต้องลองดูตารางชีวิตตัวเองด้วยว่าจะมีเวลาซ้อมวิ่งยาวขนาดไหน การยกระดับตัวเองจากมาราธอน เป็นอัลตร้ามาราธอน ต้องมีความพร้อมในหลายๆด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ เวลา และการงาน ใช่ค่ะ งานต้องให้เงินมากพอเพื่อความพร้อมต่อการวิ่ง การลดเวลาทำงานเพื่อไปวิ่ง ก็ต้องทำงานให้ได้เงินมากพอก่อนนะคะ แหะ แหะ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความคิดก็คือความคิด จะวิ่งได้ไม่ได้อยู่ที่การลงมือทำมากกว่า เหมือนอย่างการวิ่งในงานนี้ เราคิดแค่ว่าต้องไม่ไหวแน่เลย เพราะอากาศมันร้อนกว่าปีที่แล้วมากๆ แต่สุดท้ายวิ่งออกมาแล้วกลับวิ่งได้ระยะทางเกือบเท่าๆกันกับปีที่แล้ว พูดตามตรง ถ้ายอมอึดกว่านี้อีกหน่อย ก็อาจจะได้เท่าๆกับปีที่แล้ว สรุปได้ว่า ผลการแข่งขันมาจากความคิดเป็นหลักจริงๆ ถ้าคิดว่าทำได้ เราก็จะทำได้ ความคิดที่ว่าอากาศปีที่แล้วร้อนมากๆจบลงไปแล้ว แต่ความกลัวอากาศร้อนในปีนี้มันกลับมากกว่า เพราะมัวแต่คิดวนเวียนซ้ำซากนับพันๆครั้งต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ งานวิ่งที่จบไปแล้วก็ควรปล่อยให้จบไป งานวิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็ควรจะทำให้ดีที่สุด อย่าเอาความรู้สึกเก่ามาบดบังประสบการณ์ใหม่ เกิดทำได้ดีกว่าเดิม จะเสียดายโอกาสเปล่าๆค่ะ

ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีความคิดที่จบไปในแต่ละก้าวของการวิ่งกันนะคะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: