Explore the Knowledge for Runner
เมื่อเจอเนินสูง มีสองอย่างที่เราต้องตัดสินใจ นั่นคือการก้าวขึ้นไป หรือการยืนเฉยๆ สำหรับพวกเราเหล่านักวิ่งคงเลือกที่จะก้าวขึ้นไปใช่ไหมคะ แต่จะก้าวกันไปได้อย่างไร แบบไหน นานเท่าไรจึงจะถึงยอด นั่นคงเป็นศิลปะการใช้ร่างกายของแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ แต่อย่างน้อย เพื่อนๆก็ยังคงต้องก้าวไปข้างหน้าใช่ไหมคะ
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นัดพบกับงานนาวิกโยธิน 2017 หรือชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆว่า Marine Marathon 2017 (2 ก.ค. 60)
ซึ่งมีกิตติศัพท์ลือเลื่องในเรื่องของการจัดงานที่ดี คงเพราะเป็นงานของทหาร จึงมีกำลังคนที่เพียงพอต่อการจัดงาน และจัดอยู่ภายในค่ายทหารเอง ซึ่งเป็นสถานที่ของทหาร จึงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องการปิดถนน แต่ที่ขึ้นชื่อมากกว่านั้น คือเส้นทางวิ่งที่ขึ้นเนินโหดพอสมควร เดี๋ยวหมู่หรือจ่า คงต้องมาดูกัน
เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพเวลาประมาณบ่ายสอง กว่าจะฝ่าการจราจรออกไปถึงมอเตอร์เวย์ได้ก็ปาเข้าไปบ่ายสี่โมง แต่รู้มาว่าทางผู้จัดงานได้เปิดให้รับเสื้อและบิบจนถึงทุ่ม จึงไม่กังวลมากนัก ค่อยๆขับไปเรื่อยๆ แต่ไปเจอปริมาณรถเยอะและหนาแน่นอีกครั้งตอนเลี้ยวเข้าไปในพื้นที่ศูนย์บัญชาการนาวิกโยธินแล้ว เรายังงงๆกับพื้นที่จัดงาน และไม่ได้ดูแผนที่ผังจอดรถมาก่อน จึงได้แต่ขับตามๆเข้าไป กว่าจะได้ที่จอด เวลาก็ล่วงเลยถึงหกโมงเย็นแล้ว แต่ที่จอดรถมีเยอะมากนะคะ เรียกได้ว่ามาเร็วก็ได้จอดใกล้หน่อย มาช้าก็จอดไกลหน่อย
เราตื่นตาตื่นใจกับสถานที่จัดงานมาก เพราะกว้างขวางใหญ่โต เดินสบายๆไม่แออัดยัดเยียด อยู่ริมทะเล ลมพัดโชย ทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป เวทีใหญ่โต เห็นแต่ไกล เครื่องขยายเสียงทั่วถึง การรับบิบแบ่งตามระยะ และตามหมายเลขบิบ แบบว่ามีรายละเอียด และน้องทหารที่มานั่งให้บริการก็น่ารัก พูดจาดี แถมมีบริการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนระยะ เปลี่ยนช่วงอายุให้ด้วย เนื่องจากงานนี้เราต้องปล่อยบิบฟูลไป เพราะเจ็บขา และซ้อมไม่ทัน ทำให้ต้องซื้อบิบฮาล์ฟต่อจากคนอื่น บริการเปลี่ยนชื่อ และช่วงอายุจึงเป็นที่ยินดีกับเรามาก
หลังจากรับบิบเรียบร้อยแล้ว จึงถึงเวลาเดินช้อปปิงค่ะ ซึ่งงานนี้มีร้านค้ามากมายมาเปิดให้นักวิ่งช้อปอุปกรณ์วิ่งที่ตัวเองต้องการ ในงานนี้เราได้กางเกงวิ่งไป 2 ตัว ถุงเท้าอีก 9 คู่ แถมติดต่อซื้อหมวก Visor แบบที่ตามหาจากทาง Facebook ซึ่งคนที่จะขายเราเค้ามาวิ่งที่งานนี้พอดี เลยได้นัดเจอดูของและซื้อไปเรียบร้อย กลายเป็นว่า มางานนี้หมดเงินค่าช้อปไปมากกว่าค่าวิ่งอีกค่ะ
เมื่อเดินถึงทุ่มก็เป็นเวลาอันสมควรกลับไปพักผ่อน งานนี้เราขอสิงบ้านพี่ที่รู้จักกัน บ้านเค้าอยู่ตรงข้ามหาดนางรำพอดี เลยหาร้านอาหารทานแถวนั้น ได้บทสรุปความอยากและความหิวอยู่ที่ร้านบุฟเฟ่ท์ปิ้งย่างอาหารทะเลชื่อร้าน เดช 31 ราคาแค่ 199 บาท แต่อาหารนี่เกินคุ้ม ทั้งปลาหมึกตัวโตมาก ปลากะพงสดๆเนื้อนุ่มหวาน หอยสารพัดชนิด กุ้งตัวใหญ่ ปูตัวเป้ง หมูเนื้อนุ่มหมักหลายรสชาติ และอื่นๆอีกมากมาย เสียดายว่าขาดข้าวผัดที่คนเยอะมาก เค้าผัดมาเสิร์ฟให้ไม่ทัน เลยกลายเป็นโหลดโปรตีนแทนคาร์โบไฮเดรต แต่เนื่องจากมีน้องที่ไปด้วยลงฟูล จึงขอเค้าเป็นข้าวสวยก็ยังดี ทางร้านก็ใจดี นำมาเสิร์ฟให้ ประทับใจมากๆค่ะ
เมื่อกลับถึงที่พัก เวลาจึงล่วงเลยถึงสี่ทุ่มแล้ว รีบอาบน้ำ ติดบิบ นอนกัน แต่ก็นอนกันได้ไม่นาน เพราะตีสองครึ่งก็พากันตื่นแล้ว แม้ไปกัน 4 คน มี 1 คนลงฟูล อีก 3 คนลงฮาล์ฟไว้ แต่ทุกคนก็เต็มใจ ตื่นมาส่งเพื่อนที่ลงฟูล แม้เวลาปล่อยตัวจะต่างกันถึง 2 ชั่วโมงก็ตาม ถือซะว่า เอารถไปจอดได้ใกล้งาน คนน่าจะยังไม่เยอะ แล้วไปนอนรอเวลาเอา เราออกจากบ้านกันเวลาตีสามนิดๆ ไปถึงงานยังเหลือเวลาอีก 10 นาที จะปล่อยตัวฟูลมาราธอน แต่เกิดเหตุใดไม่ทราบแน่ ทำให้ปล่อยตัวฟูลช้าไป 15 นาที ถือซะว่าเพื่อนได้วอร์มนานขึ้นอีกนิดนึง เมื่อปล่อยตัวเพื่อนไปแล้ว เราเองก็นอนรอเวลา โชคดีที่ได้จอดรถหน้าตึกขนส่ง เลยได้อาศัยโต๊ะเก้าอี้ที่ตึกชั้น 1 นอนรอเวลา ตรงพื้นที่นั้นก็มีพี่นักวิ่งผู้ชาย มากางเต๊นท์นอนกัน ทหารมีโต๊ะวางผลไม้ให้ โดยเฉพาะกล้วยหลายหวี พร้อมติดป้ายเขียนไว้ว่ายินดีต้อนรับนักวิ่งทุกท่าน ทำเอาเราซาบซึ้งใจกับกล้วยที่ได้นั่งทานไป 1 ลูก รวมกับข้าวที่เตรียมมา 1 ชาม ก็อิ่มอร่อยก่อนเวลาวิ่ง 1 ชั่วโมง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อบอุ่นร่างกาย รอเวลาปล่อยตัวกันไปค่ะ
เมื่อใกล้เวลาปล่อยตัวก็เดินกันไปเชคอิน ปล่อยตัวฮาล์ฟมาราธอนเวลา 5.30 ตรงเวลา ฟ้ายังมืดอยู่ และคนเยอะมาก ทำให้เบียดเสียดกันในช่วงแรกพอสมควร แต่เมื่อวิ่งกันไปสักพัก คนก็เริ่มโล่ง เนื่องจากทางวิ่งเป็นทางขึ้นเขาชันพอสมควร คาดคะเนก็คงประมาณ 45 องศาได้ ขึ้นต่อเนื่อง มีทางลาดให้พักบ้างแต่ก็ไม่นานก็ขึ้นต่อ เราเองได้แต่บอกตัวเองในใจว่า ค่อยๆไปนะ ไม่ต้องเร่ง ให้รักษาจังหวะไปเรื่อยๆ เรามักจะมีจังหวะนับเลขในใจค่ะ 1 2 3 4 5 6 7 8 ตามก้าวที่วิ่ง วนซ้ำไปเรื่อยๆ คอยดูจังหวะหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ ตามดูกล้ามเนื้อหน้าขา สลับกับกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายว่าออกแรงมากไปหรือไม่ คอยเตือนตัวเองในใจว่า งานนี้ทางผ่าน งานสำคัญกว่าคือมาราธอน ห้ามเจ็บก่อนได้วิ่งมาราธอนเดือนพฤศจิกายนนี้อีกอย่างเด็ดขาดค่ะ
เทคนิคการวิ่งขึ้นเนิน นอกจากการฝึกฝนที่ต้องผ่านมาอย่างช่ำชองแล้ว เราเองยังค้นพบเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆในการวิ่งขึ้นเนินมาบอก นั่นคือ ให้เกร็งหน้าท้อง ห่อตัวเล็กน้อย โน้มตัวมาข้างหน้า ก้มหน้าเก็บคางเข้าหาอกเล็กน้อย การอยู่ในท่านี้เป็นการลดความยาวร่างกาย เพื่อลดแรงงัดของขากับพื้น แต่ต้องใช้แรงกล้ามท้องกันสักเล็กน้อย เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อหลังและน่อง ซึ่งเพื่อนๆควรได้ฝึกฝนกันมาให้พร้อม แล้วเพื่อนๆก็ค่อยวิ่งเหยาะๆขึ้นไปเป็นจังหวะ ไม่เร่ง ไม่ผ่อน แต่ให้ใช้แรงที่ความพยายาม 50% เท่านั้นเราก็สามารถรอดพ้นเนินได้ทุกเนินแล้ว ทั้งนี้ควรได้ฝึกวิ่งขึ้นเนินมาบ้างแล้ว เพื่อจะได้ประมาณความหนักของการออกแรงกล้ามเนื้อของตัวเองได้ถูก ที่ต้องให้ใช้แรง 50% เพื่อเก็บแรงขาไว้ใช้เนินต่อไป และใช้กับระยะทางที่เหลือ และก็ไม่ช้าเกินไปที่จะผลักดันตัวเองให้ไปต่อข้างหน้า ดังนั้นจริงๆแล้ว หากเพื่อนๆรู้เส้นทางวิ่งมาก่อนได้ก็จะดี เพราะว่าจะได้ประมาณแรงตัวเองถูกค่ะ
เทคนิคการวิ่งลงเนินก็เป็นอีกศิลปะหนึ่งในการวิ่งเลย ที่ผ่านมาเคยได้ยินกันว่า ให้วิ่งปล่อยลงมาเลย บ้างก็ว่าให้ค่อยๆวิ่งลงมา บ้างก็ว่าให้ค่อยๆเดินจะดีกว่า แต่ถ้าจะว่ากันตามหลักการการเคลื่อนไหวร่างกาย การลงเนินหรือลงบันได เราใช้แรงกล้ามเนื้อหน้าขามากกว่าตอนวิ่งขึ้น เพราะกล้ามเนื้อต้องคอยเกร็งให้เข่าค่อยๆงอต้านแรงโน้มถ่วงโลก และค่อยๆปล่อยให้กล้ามเนื้อยืดยาวออก ซึ่งต้องใช้แรงและทักษะในการควบคุมกล้ามเนื้อสูง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า ถ้าฝึกกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้ามาไม่แข็งแรงพอ หรือไม่เคยฝึกเลยแม้แต่ทำท่ายืนย่อเข่า เราก็แนะนำให้เดินเลยจะดีกว่า เพราะถ้าแรงกล้ามเนื้อมีไม่มากพอ การวิ่งซึ่งมีแรงกระแทกมากกว่า จะทำให้ลูกสะบ้าที่ปกติควรจะลอยพ้นจากพื้นกระดูกขาท่อนบนเพราะกล้ามเนื้อหน้าขาแข็งแรงจนสามารถดึงยกไว้ กลายเป็นกดครูดไปบนพื้นกระดูกขาท่อนบน และเสียดสีกันจนกระดูกอ่อนเรียบลื่นของเรากลายเป็นขรุขระแบบผิวหน้ากระดาษทราย ครูดกันมากๆเข้าก็จะส่งผลให้กลายเป็นเข่าเสื่อมต่อไปในอนาคต ส่วนคนที่ได้ฝึกกล้ามเนื้อหน้าขามาบ้างแล้ว หรือฝึกมากจนถึงขั้นกระโดดได้สบายๆ ก็ขอแนะนำว่าให้ค่อยๆปล่อยลงมาเท่าที่กำลังกล้ามเนื้อจะทำได้ ซึ่งการจะรู้ว่ามากน้อยขนาดไหน คงต้องใช้ความรู้สึกของเราวัดเอง เพราะเป็นทักษะที่ควรฝึกฝนจนจำการออกแรงของกล้ามเนื้อได้ ใครที่ฝึกวิ่งลงเนินมาแล้ว ก็จะไปได้ดีกว่า ใครที่ไม่เคยฝึกมาเลย ให้ค่อยๆปล่อยลงโดยดูความรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าเป็นหลัก ถ้ายิ่งวิ่งยิ่งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่ามากเกินไปแล้ว ให้ลดความเร็วลงนะคะ
ที่กล่าวมาก็เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ขอมาแนะนำกัน สรุปแล้วงานนาวิกโยธินนี้วิ่งขึ้นเนินช่วงแรกยาวถึง 3 กิโลเมตร หลังจากนั้นก็ลงเนินมาแบบเมื่อยหน้าขากันเลย แล้วจึงวิ่งเลาะริมทะเลในทางราบ มาถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเกือบ 9 กิโลเมตรแล้ว เราเห็นผู้นำกลับตัวมากันแล้ว ตอนนั้นก็ใช้เวลาไปประมาณ 40 นาทีได้แล้ว เราเองเริ่มเมื่อยหน้าขาอย่างเห็นได้ชัด กำลังคิดว่าจะวิ่งอีก 12 กิโลเมตรที่เหลืออย่างไรดี ลมทะเลก็พัดมาปะทะหน้า ทำให้รู้สึกว่า ช่างมันเถอะ วิ่งเท่าที่ขาจะพาไปไหว ไม่ไหวก็แค่เดิน เดินไม่ไหวก็นั่งพัก ค่อยๆไปเรื่อยๆ ดังคำกล่าวที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องไปให้เร็วหรอก แค่ต้องไปต่อเท่านั้นเอง คิดได้อย่างนี้แล้วก็วิ่งไปเรื่อยๆตามทางค่ะ
เมื่อกลับตัววิ่งเลาะหาดมาเรื่อยๆ ก็เจอน้องที่ไปวิ่งด้วยกัน น้องเดินแล้ว และทำหน้าเจ็บอยู่ มาบอกทีหลังว่าเจ็บหน้าแข้ง งานนี้เลยเป็นงานยากของน้องไปเลย เมื่อหมดทางเลียบหาด เลี้ยวมาชนกับระยะมินิ ตรงนี้เป็นเนินไม่ชันมาก แต่ลากยาวถึง 1 กิโลเมตร เล่นเอาแทบหมดกำลังใจเหมือนกัน แต่ก็ใช้เทคนิคดังที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า เอาตัวรอดมาได้ ระยะทางหลังจากนี้ มีขึ้นเนินลงเนินเรื่อยๆภายในค่ายทหาร แต่ไม่ชันเรียกว่าต้องใช้กำลังใจล้วนๆ และกำลังใจที่ได้มา นอกจากตัวเราเองแล้ว ยังมีกำลังใจจากเพื่อนๆนักวิ่งที่มาวิ่งด้วยกันนี่แหละ เพื่อนเยอะมากค่ะในงานนี้ เห็น Pacer ของมาราธอน 4 ชั่วโมง วิ่งนำอยู่ข้างหน้าก็ได้กำลังใจอีกโข เพราะเราวิ่งหนี Pacer ระยะฮาล์ฟ 2.30 มา แต่คงไม่คาดหวังว่าจะเจอ Pacer 2.00 หรอกนะคะ การวิ่งวันนี้ตั้งเป้าไว้ว่าไม่เกิน 2.30 ชั่วโมงแบบปลอดภัยไม่บาดเจ็บเพื่อมาราธอนเดือนพฤศจิกายนค่ะ
กำลังใจเล็กๆน้อยๆก็มีอีกนะคะ เราวิ่งตามหลังน้องผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ เสื้อข้างหลังเขียนไว้ว่า You don’t have to go fast. You just have to go. ดังที่เอามาเป็นหัวข้อ อ่านแล้วก็ อื้อ จริงตามนั้น ว่ากันไปแล้ว ตอนนั้นก็ไม่คิดจะไปเร็วแล้ว เอาแค่ให้จบจะดีกว่านะคะ นอกจากนี้ยังมีตอนวิ่งผ่านตลาดเก่าในสัตหีบ มียายหลานคู่หนึ่งมายืนตบมือเชียร์ สู้ๆ สู้ๆ เสียงดังเลย ยายที่เสียงเบากว่าก็กระตุ้นหลานให้เชียร์เสียงดังๆ เรียกรอยยิ้มจากนักวิ่งได้ดี นอกจากนั้นตอนวิ่งขากลับมา ยังมีชาวสัตหีบใจดี ตั้งโต๊ะหน้าบ้าน แจกน้ำเย็นและแตงโมด้วย เห็นเพื่อนบอกว่ามีกล้วยด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้หยุดรับค่ะ ได้แต่ส่งรอยยิ้มให้แทนคำขอบคุณ
กำลังใจสุดท้ายคือวิวสวยข้างทาง เหลืออีก 3 กิโลเมตรสุดท้าย คือทางขึ้นเนินสุดท้ายเพื่อไปดูวิวทะเลจากที่สูงค่ะ ทางวิ่งอาจแคบลง และแออัดยัดเยียดบ้าง เพราะนักวิ่งมาเจอกันที่นี่ทุกระยะ และยังมีบางส่วนหยุดถ่ายรูปกับวิวสวยข้างทาง เราเองแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขามากแล้ว จนคิดว่าไม่อยากหยุดวิ่ง เพราะกลัวก้าวขาไม่ออก ยังต้องหยุดเพื่อถ่ายรูปกับวิวข้างทางเลย ลมเย็นๆที่พัดมากับอากาศหอมสดชื่น ทำให้ลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ ที่นี่มีพี่ๆตากล้องมาเก็บภาพกันเพียบ คงเพราะวิวสวย แต่หน้าเราไม่สวยแล้ว ไม่มีใจอยากเล่นกล้องมาก เพราะเหนื่อยจริงๆ เลยวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเก็บภาพเรียบร้อยแล้วก็ออกวิ่งต่อเพื่อรับยางที่จุด check point กลับตัวมาเข้าระยะ 2 กิโลเมตรสุดท้าย ตอนนี้เหลือแรงเท่าไรก็ใส่เข้าไป สุดท้ายเข้าเส้นชัยที่เวลา 2.17.17 ชั่วโมงค่ะ ใครว่าเร็วหรือช้าเราไม่สนใจ เข้าเส้นชัยได้นี่ก็ดีใจมากแล้วค่ะ
ถือว่าเป็นสนามที่โหดใช่ย่อย เพื่อนที่วิ่ง Full marathon บอกว่าเนินขึ้นลงเยอะมาก แต่ถือโอกาสพักตอนไปถึงเรือรบ เรานอนรอเพื่อนวิ่งจบฟูล และทานอาหารอะไรเรียบร้อยแล้วถึงประมาณ 10.30 จึงกลับไปอาบน้ำพักผ่อนที่บ้านเพื่อน นอนสลบกันไปอีก 3 ชั่วโมง จึงออกเดินทางกลับกรุงเทพค่ะ
เป็นที่น่าประทับใจสำหรับการจัดงานนาวิกโยธินในครั้งนี้นะคะ ตั้งแต่กระบวนการรับสมัคร ไปจนถึงหลังจบการแข่งขันที่ตอบสนองต่อการให้ความเห็นอย่างรวดเร็ว สถานที่จัดงานและทางวิ่งดีเลิศ (ติดว่าแคบไปที่กลับตัวสุดท้ายนิดเดียว) น้ำท่าพอเพียงสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้ (อาจหมด 2-3 สถานีก่อนเส้นชัย แต่ที่เส้นชัยก็พอเพียง) อาหารหลากหลาย ซุ้มใหญ่และมาก แบ่งตามระยะ ซึ่งดีมาก ไม่ต้องแย่งกัน ไม่ต้องกลัวหมด พบกันใหม่ปีหน้ากับฟูลนะคะ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีความพร้อมรับกับอุปสรรคที่จะเจอในทุกสถานการณ์กันนะคะ
Recent Comments