วิ่งเพื่ออนาคต

คำถามยอดฮิตที่นักวิ่งต้องเจอจากคนที่ไม่ได้วิ่งนั่นก็คือ “วิ่งไปทำไม?” และตามด้วยคำถามเสริมอีกมากมายจากมุมมองของคนที่ไม่ได้วิ่ง เช่น “เสียเงินลงสมัครงานวิ่งที่ได้แค่เหรียญกับเสื้อไปทำไม?” “ทำไมต้องตื่นแต่เช้าไปวิ่ง นอนสบายๆดีกว่า?” “มีรองเท้าวิ่งไว้ทำไมหลายๆคู่?” “ยิ่งวิ่งยิ่งเข่าเสื่อม ร่างกายพัง ทำไปทำไม?” และอื่นๆอีกมากมายที่เราเองก็ไม่สามารถตอบได้หมด จนสุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มเงียบๆ เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับคนที่ไม่ได้วิ่ง ให้เข้าใจคนที่วิ่งได้ ได้แต่บอกว่า ให้ลองมาวิ่งดู แล้วจะรู้เอง

เรานึกถึงวันแรกที่ไปร่วมงานวิ่ง วันนั้นเราต้องวิ่ง 5 กิโลเมตร ตามที่เพื่อนรุ่นพี่ได้ลงสมัครไว้ให้ เรายอมสมัครเพราะมีน้องที่ทำงานหลายคนไปด้วยกัน เราลงสมัครทั้งที่ตอนนั้นวิ่งแค่ 1 กิโลเมตร ยังรู้สึกว่าจะตายให้ได้ เรามีเวลาซ้อมก่อนวันงานจริงประมาณ 1 เดือน เราคิดเอาเองว่า 5 กิโลเมตรนี่ก็คงไม่เท่าไร แต่หารู้ไม่ว่าสำหรับร่างกายที่ห่างหายการออกกำลังกายมานานเป็นสิบปีนั้น มันคงไม่ตอบสนองการออกกำลังกายอีกครั้งได้อย่างรวดเร็วเท่าไรหรอก เราออกไปซ้อมในเช้าวันหนึ่งที่พยายามลืมตาตื่น ลุกจากที่นอน เปลี่ยนชุด สวมรองเท้า ระหว่างที่ทำทุกอย่างนี้ เราพยายามคิดหาเหตุผลมากมายที่จะไม่ออกไปวิ่ง ยอมรับว่าเหตุผลที่คิดได้เช้านั้นคือ กลัววิ่งไม่จบ 5 กิโลเมตรแล้วจะอายน้องๆที่ทำงาน ดังนั้น เราจึงออกไปถึงสวนจตุจักรได้ และเริ่มวิ่งเท่าที่จะทำได้ วิ่งบ้าง เดินบ้าง สลับๆไป ด้วยจิตใจที่มีความหวัง เราคิดแค่ว่าวิ่งเท่าที่ได้ก็พอ ถ้าเหนื่อยมากไปไม่ไหวแล้วจะหยุด และตอนนั้นคงได้ระยะทางสัก 3 กิโลเมตรเราก็พอใจแล้ว แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง กลับรู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย ลองฝืนๆต่อไปอีกสักพัก ก็ตัดสินใจว่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้ ก้มดูระยะทางจาก App Runkeeper พบว่าเราเพิ่งผ่านระยะทาง 800 เมตรมาได้ไม่นาน ในตอนนั้นเราวิ่งและเดินมาได้ประมาณเกือบสิบนาทีเท่านั้นเอง เราออกจะแปลกใจตัวเองที่ทำได้น้อยเหลือเกิน และแปลกใจคนอื่นที่วิ่งในสวนเช้านั้นว่า ทำไมเค้าวิ่งกันได้นานเหลือเกิน สุดท้าย เช้าวันนั้นเราจบระยะวิ่งที่ 1.5 กิโลเมตร ในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง และเราก็ตัดสินใจว่า เราจะออกมาวิ่งวันเว้นวัน จนถึงวันที่ลงงานวิ่งไว้ และวิ่งเท่าที่ได้

IMG_2379

งานวิ่งวันแรกนั้น เราจำได้ถึงความรู้สึกว่า “เมื่อไหร่จะถึง?” แดดที่ร้อนและระยะทางที่ไกลกว่าระยะซ้อม ทำเอาเราอยากจะหยุดก้าวขาในทุกวินาที แต่เนื่องจากเป็นงานวิ่ง เราเห็นเพื่อนนักวิ่งที่วิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตรที่วิ่งกันอย่างสบายๆ ทำให้เรามีกำลังใจที่จะวิ่งให้จบให้ได้ เมื่อเข้าถึงเส้นชัยแล้ว เหรียญแรกที่ได้ถือว่าเป็นความภูมิใจแบบที่อธิบายไม่ถูก มันคือเหรียญตัวแทนแสดงความพยายามของเราในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และจากงานวิ่งวันนั้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ทำให้เราตั้งเป้าหมายใหม่อย่างไม่ลังเลว่า เราจะต้องวิ่ง 10 กิโลเมตรให้ได้

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ที่เขียนเพจนี้ วันที่ 23 ธันวาคม 2560 วันที่เราสามารถจบฟูลมาราธอนแรกเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ได้อย่างปลอดภัย เป็นตัวพิสูจน์แล้วว่าเราได้เลือกหนทางที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยถึงความรักและหลงใหลต่อกีฬาวิ่งมาราธอนนี้ เราแทบจะหัวปักหัวปำฝังทิ่มหัวลงไปในโลกแห่งการวิ่งนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้นไปซะแล้ว IMG_4718

สำหรับคนอื่น อาจจะเลือกหนทางอื่นเพื่อสุขภาพของตนเอง แต่สำหรับเราผลของการวิ่งในระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมาคือ เราได้ร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เดินเหินสะดวกสบาย เดินได้เร็ว ไม่เหนื่อยง่าย โรคภูมิแพ้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ระบบย่อยอาหารดี โรคกระเพาะหายไป จัดการความเครียดได้ดี มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างที่มาวิ่งด้วยกัน และอื่นๆอีกมากมายที่ได้จากการวิ่ง ในแบบที่ไม่สามารถตอบคำถามคนที่ไม่เคยวิ่งได้อย่างครบคำพูด

เราบอกได้แต่เพียงว่า การเริ่มต้นทำสิ่งที่ดีต่อชีวิตตั้งแต่วันนี้ จะได้ผลที่ดีในอนาคต หลายคนเลือกที่จะดำเนินชีวิตด้วยความประมาท และคิดเอาเองว่าพรุ่งนี้คงจะดีกว่านี้ แต่หารู้ไม่ว่า การกระทำที่ดีเท่านั้น ที่จะส่งผลที่ดีในอนาคต หากเราทำเหตุวันนี้ไว้ดีแล้ว ผลในวันหน้าย่อมดีแน่นอน

หากเราตั้งใจวิ่งอย่างดีในวันนี้แล้ว เราจะวิ่งไปได้อีกนานเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคตได้แน่นอนค่ะ

ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีอนาคตที่ดีจากการวิ่งกันนะคะ