Category: ประสบการณ์วิ่งเพื่อผู้อื่น

ความสุขไม่เคยจางหาย หากเกิดจากใจที่คิดจะให้ (Run for the Ocean)

ตอนที่ได้รับข้อความจากพี่เบิร์ธ พี่นักกายภาพบำบัดที่เคารพคนหนึ่งว่าอยากได้แรงไปช่วยเป็นอาสาทีมแพทย์ดูแลนักวิ่งในงาน Run for the Ocean ที่จัดโดยคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็อยากช่วยอยู่แล้ว จึงตอบตกลงไปอย่างว่าง่าย การจัดงานวิ่งครั้งนี้เพื่อระดมทุนนำเงินไปช่วยเหลือกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ท้องทะเลที่หลากหลาย รวมถึงการทำวิจัยด้วย โดยกลุ่มมีนกรชวนกันวิ่ง สร้างความรู้ ต่อเติมจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการใช้ ใส่ใจการจัดการทิ้งขยะพลาสติกให้ท้องทะเล ชายหาดและชุมชนทะเลไทยน่าอยู่ น่าเที่ยวอย่างยั่งยืน เมื่อวัตถุประสงค์คือการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมชัดเจนอย่างนี้แล้ว และยังตรงกับอุดมคติของคนรักสิ่งแวดล้อมอย่างเราด้วย เราก็ยิ่งอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของทึมงานมากขึ้น โดยให้ทำอะไรก็ได้เท่าที่ความสามารถเราจะพอทำได้ พี่เบิร์ธตั้งกลุ่มนักกายภาพบำบัดจิตอาสาขึ้นมา เราช่วยกระจายข่าวบอกเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักกายภาพบำบัดที่สนใจมาร่วมงาน และก็ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น มีหลายคนที่เป็นนักวิ่งอยู่แล้ว และน้องบางคนมีประสบการณ์ดูแลนักวิ่งในสนามจริงอยู่แล้ว พี่เบิร์ธจึงมาคอยรับปรึกษาและวางแผนจากน้องๆพี่ๆในกลุ่ม ต่างคนต่างก็ช่วยกันออกความเห็น มีพี่เบิร์ธเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้จัดการเตรียมทุกอย่างให้พร้อม พวกเรามีการนัดบริฟงานกันก่อนวันงาน 1 วัน แต่เราติดภารกิจที่บ้าน จึงไม่สามารถไปร่วมได้ สรุปคือรอเจอกันวันงานเลย ก่อนวันงาน พี่เบิร์ธมีจัดบูธ Running Clinic ให้ความรู้กับนักวิ่งที่มีการบาดเจ็บขึ้นด้วยที่บริเวณงาน แต่เราติดงานหลักเลยไม่ได้ไปร่วมด้วย แต่มีน้องๆเวียนกันไปช่วยเหลือกัน เรารับหน้าที่เป็นนักกายภาพเคลื่อนที่ในสนามวิ่ง โดยวิ่งไปกับ Pacer 80 นาที เรารู้แต่เพียงเท่านั้น เราเปิดตารางเวลาปล่อยตัวพบว่าปล่อยตัวระยะมินิที่เวลา 5.30 น. และพี่เบิร์ธนัดเจอกันเวลา 4.30 น. เราตั้งเวลาตื่น 3.45 น. ตอนตื่นมาได้ยินเสียงฟ้าร้องโครมครามไม่ขาดระยะตลอดเวลาที่เราแต่งตัวออกจากบ้าน ข้อความจากเพื่อนที่อยู่ที่งานแล้วบอกว่า ฝนตกหนักไปแล้ว ตอนนี้หยุดแล้ว เราขับรถออกจากบ้าน ตั้งใจว่าจะขับไปจอดที่อาคารจอดรถวิภาวดีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระหว่างทางฝนเริ่มลงเม็ดพรำๆ กว่าจะวนรถจอดได้ เวลาก็ปาเข้าไปเกือบตีห้าแล้ว เราต้องวิ่งกึ่งเดินไปที่บริเวณงาน ซึ่งห่างออกไปเกือบโล อากาศอบอ้าว และฝนลงเม็ดพรำๆ ทำให้เหงื่อเราออกมาเป็นถังเมื่อไปเจอน้องๆ น้องส่งเสื้อ Staff มาให้เรา เราวิ่งไปเปลี่ยนก่อนอย่างแรกแล้วก็ได้รับการผูกลูกโป่งสีขาว และได้ป้ายห้อยคอเขียนว่า Staff กับเครื่องหมายกากบาทสีแดง สัญลักษณ์ทางการแพทย์ พร้อมกับน้องๆ ไม่รู้คนไหนยื่นถุงซิปล็อคที่มีการจัดชุดปฐมพยาบาลพื้นฐานมาให้แล้วอย่างเรียบร้อย ข้างในประกอบด้วย ก้อนสำลีชุบแอมโมเนีย ลูกอมโอเล่ สเปรย์ยูนิเรนสองขวด เทปล็อคข้อหนึ่งม้วน และชุดทำแผลสด เรารีบจัดของทุกอย่างเข้าเป้น้ำที่พกมา พอเสร็จแล้วก็เหลือเวลาอีก 15 นาที จะปล่อยตัว เวลานั้น ฝนเริ่มเปลี่ยนจากซามาเป็นเม็ดหนาขึ้นชัดเจน พวกเรามายืนรวมกับกลุ่ม Pacer ที่จุดปล่อยตัวแล้ว ถึงเราจะเป็น Pacer มาหลายครั้งและเคยเจอสถานการณ์ฝนตกอย่างนี้มาก่อน จนต้องวิ่งกอดลูกโป่งเอาไว้ ก็ไม่เคยรู้เลยว่า แค่สะบัดลูกโป่งให้เม็ดน้ำที่เกาะลูกโป่งหลุดออกไป ลูกโป่งที่หนักจากน้ำฝนที่เกาะก็จะลอยขึ้นไปอีกครั้ง เป็นหนึ่งความสนุกที่เราผลัดกันตีลูกโป่งให้กันและกันไปตลอดเส้นทาง ขอบคุณความรู้จากเพื่อน Pacer จากกลุ่มนมเย็นค่ะ เรื่องความกังวลว่าตัวจะเปียกสำหรับงานนี้ ไม่ต้องพูดถึง มาถึงจุดนี้บอกได้อย่างเดียวว่าจะเปียกมากหรือเปียกน้อยเท่านั้นเอง สำหรับเราตอนนั้นถือว่าฝนไม่หนักมาก แค่ต้องคอยเอามือลูบน้ำออกจากใบหน้าเป็นช่วงๆเท่านั้นเอง ดีกว่าบางงานที่ลืมตาแทบไม่ขึ้นเลย เราวิ่งออกจากจุดปล่อยตัวพร้อม Pacer 80 เราวิ่งคู่กับน้องมิ้วค์ น้องนักกายภาพอีกคนหนึ่งที่รักการวิ่งเหมือนกัน เราสองคนสามารถวิ่งตาม Pacer ไปได้อย่างสบายๆด้วยความเร็วนี้เป็นความเร็วสบายๆสำหรับเราทั้งคู่ เส้นทางวิ่งทั้งหมดจะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แม้เราจะดูแผนที่เส้นทางวิ่งมาแล้วก็ยอมรับเลยว่าซับซ้อนไม่ใช่น้อย รู้แค่ว่าต้องวนเป็นสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมบางจุด แต่บอกได้เลยว่าเจ้าหน้าที่บอกทางชัดเจนทุกจุด ไม่มีหลง การที่กลุ่มเราเลือกให้มี Physio Run ตาม Pacer 80, 90 และ Sweeper เพราะคิดว่าเป็นความเร็วของแนวหลัง คาดว่าน่าจะมีคนต้องการใช้บริการบ้าง เราวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงกิโลเมตรที่ 4 เราเริ่มสังเกตเห็นคนเดินบ้าง สลับวิ่งบ้าง ผ่อนแรงลงมาบ้าง เราคาดว่าคงเป็นระยะที่นักวิ่งหน้าใหม่อาจเริ่มหมดแรงได้ จึงเริ่มตะโกนถามหาคนที่เผื่อว่าจะต้องการใช้บริการของเรา “มีใครต้องการสเปรย์บ้างไหมค้า เรียกได้นะค้า” เราวิ่งเรียกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีนักวิ่งเข้ามาขอฉีดสเปรย์เป็นระยะๆ ไม่มีนักวิ่งที่บาดเจ็บกะทันหันจนเราต้องโทรเรียกหน่วยกลาง ซึ่งเรามีเบอร์ติดต่อที่เตรียมการเอาไว้แล้ว เราสังเกตว่าในสนามแข่ง แม้คนที่วิ่งอยู่แนวหลัง ก็ยังคงมีสายตามุ่งมั่นไม่ต่างไปจากคนที่วิ่งเร็วอยู่แถวหน้าเลย เวลาถามว่าไหวไหม ทุกคนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และออกวิ่งหรือเดินต่อไป ส่วนใหญ่ถ้าเรามาวิ่งเองโดยไม่มีภารกิจอะไร เราไม่ค่อยได้วิ่งอยู่แนวหลังเท่าไหร่ บางทีอารมณ์แข่งขันของคนแถวหน้ามันก็สร้างความเครียดให้ได้อย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่เหมือนกับเพื่อนๆนักวิ่งแนวหลัง มีแต่รอยยิ้มให้กันทุกคน เราวิ่งผ่านซุ้มปฐมพยาบาลซึ่งยอมรับเลยว่าพี่เบิร์ธไปตั้งได้ถูกจุดทุกจุด โดยเฉพาะจุดตัดผ่านที่นักวิ่งมาเจอกันหลายสาย เราทักทายพี่ๆน้องๆที่อยู่ตามซุ้มเวลาวิ่งผ่าน รู้สึกดีจริงๆที่มีเพื่อนอยู่ด้วย เราวิ่งเข้าเส้นชัยตามเวลาของ Pacer เลย แล้วก็ตามธรรมเนียม ที่รับเหรียญแล้วก็เข้าไปทางซุ้มอาหารทันที ไม่ใช่อะไรค่ะ ท้องเราเริ่มร้องโครกครากตอนกิโลเมตรที่ 8 แล้ว แฮ่ ไปถึงบริเวณหลังเส้นชัย จะมีโปรตีนเมจิแจกฟรี เลยขอมาดื่มก่อนอย่างแรก แต่ก็เสียใจที่ตัดกำลังตัวเองเสียก่อน ด้วยว่าบริเวณลานอาหารนั้น แบ่งเป็น 2 ระยะ ให้นักวิ่งมินิกับฟันรันรับแยกกัน ที่ชอบมากคือมีช้อนให้คนละคัน เอากลับบ้านได้เลย และที่เหลือคือการเลือกเมนูตามใจชอบเลยจ้า เท่าที่จำได้ก็มีกระเพาะปลา ข้าวหน้าไก่ และอีก 3 – 4 อย่าง อาหารหนึ่งจานให้ปริมาณเต็มที่ซะด้วย ถือว่ามากมายสำหรับงานเล็กๆงานหนึ่ง มากไปกว่านั้นยังมีอาหารทะเลย่างด้วยนะ ถึงขนาดมีสัญลักษณ์ที่บิบแยกออกจากเมนูอื่น เมนูนี้เป็นที่โปรดปรานของนักวิ่งจนคิวยาวมาก และเราก็ขอไม่รับดีกว่า เป็นคนไม่ชอบต่อคิวนาน แหะๆ เรารีบทานแล้วก็รีบไปที่บูธ Running Clinic เผื่อจะได้ช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมอีก เราเลยได้มีโอกาสดูแลนักวิ่งเจ็บหน้าแข้งท่านหนึ่ง แม้ช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะน่าจะต้องพักอย่างเดียวสัก 2-3 วันแต่ก็ได้เทปช่วยไปนิดหน่อย มาถึงจุดนี้ฝนขาดเม็ดไปตอนไหนก็ไม่รู้ เรารอน้องๆนักกายภาพที่วิ่งอยู่กับทีม Sweeper พานักวิ่งอัมพาตครึ่งซีกที่มีความมุ่งมั่นเต็มที่เข้าเส้นชัยได้แล้ว ก็ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก เนื่องจากเราต้องรีบกลับไปงานแต่งงานต่อ เราเลยต้องขอตัวแยกจากทีมมา จบงานนี้เราวิ่งไปได้ด้วยระยะทาง 9.84 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 1:16:54 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 7:49 นาทีต่อกิโลเมตร เร็วกว่าเวลาของ Pacer เล็กน้อย เนื่องจากตอนท้ายกลุ่ม Pacer ให้เราวิ่งเข้าก่อน เพราะระยะขาดไปนิด และเค้าวิ่งมาเผื่อเวลาไว้แล้ว เรื่องอุณหภูมิวันนี้ไม่แย่ เนื่องจากฝนตกตลอด ถามว่าวิ่งสบายไหม มันก็สบายนะคะ ส่วนตัวแค่ไม่ชอบความรู้สึกรองเท้าอุ้มน้ำ และตอนรอเสื้อแห้งหลังวิ่งเสร็จและฝนหยุดตกแล้ว อันนี้คงแล้วแต่ความรู้สึกแต่ละคนไปค่ะ งานวันนี้โดยรวมถือว่าจัดได้ดีมาก เป็นงานที่จัดโดยคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างแท้จริง ทุกอย่างจัดการเองหมด และเราเห็นได้ว่ามีรายละเอียดที่ทางผู้จัดได้ใส่ใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางวิ่งที่ป้ายระยะทางเป็ะมาก อาหารที่กะว่าไม่มีอดแน่นอน ปริมาณนักวิ่งที่อาจแออัดช่วงแรก แต่พอวิ่งไปเรื่อยๆกลับสบายๆ เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลและเฝ้าเส้นทางอย่างเพียงพอ ป้ายบอกเส้นทางที่ชัดเจน น้ำดื่มเพียงพอ ถังขยะขนาดใหญ่ ความพยายามในการลดขยะให้มากที่สุด โดยใช้แก้วกระดาษ แจกช้อนสแตนเลสฟรี ราคาสมัครที่เท่างานเล็กๆงานอื่นแต่มี Time chip ด้วย แถมจุด Check point มีไม่ต่ำกว่า 3 จุด เราจำไม่ได้แน่ว่ากี่จุด การให้รางวัลนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยได้ด้วยตุ๊กตาฉลาม 100 คนแรก อันนี้เป็นสีสันของการแข่งขันแน่นอน และที่สำคัญถ้วยรางวัลของงานนี้เป็นงานไม้รูปประภาคาร ห้อยป้ายอันดับ มีความไม่เหมือนใครดี น้องๆนักศึกษามาช่วยงานอย่างขันแข็งด้วย น่ารักมากๆ นี่ถือว่าเป็นข้อดีของทีมจัดงานที่ไม่ต้องพึ่งผู้จัด ทำให้ดูไม่เป็นทางการและอบอุ่น แต่การที่จัดกันเอง ก็ต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าจัดเป็นครั้งแรกด้วยแล้ว และออกมาได้ผลงานเช่นนี้ ก็ต้องขอบอกเลยว่าผู้จัดมีความสามารถในการจัดการที่เก่งมากจริงๆ  โดยเฉพาะถ้าพูดถึงทีมนักกายภาพอย่างเรา เราไม่เคยวิ่งเป็น Physio Run มาก่อน และยังไม่มีงานไหนจัดด้วย แต่เนื่องจากเป็นการช่วยกันแสดงความคิดเห็นของคนในทีมกายภาพ ว่าน่าจะมีป้ายบอกว่าเป็นทีมกายภาพ ให้นักวิ่งรู้ ทางผู้จัดจึงมีการเตรียมลูกโป่งไว้ให้ และที่ประทับใจคือ ได้จัดทำบิบที่เขียนว่า Physio ให้ด้วย เราประทับใจในจุดนี้มาก เก็บบิบไว้เป็นที่ระลึกด้วยเลย แสดงว่าผู้จัดใส่ใจรายละเอียดจริงๆ และไม่ว่าจะเป็นเพราะพี่เบิร์ธได้ร้องขอไปหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ทางผู้จัดทำให้ก็ถือว่าได้ใจไปแล้ว นี่ถ้าปีหน้ามาเรียกให้ไปทำอีก ก็ยินดีไปช่วยถวายหัวเลยค่ะ หลังจบงาน พี่เบิร์ธมาถามความเห็น หรือข้อควรพัฒนาต่อในปีต่อไป เพื่อไปสรุปงานกับทีมงาน น้องๆพี่ๆในกลุ่มไลน์ก็ช่วยกันออกความเห็น เลยพอได้ทราบความในใจของทุกคนว่า รู้สึกมีความสุขและดีใจมากๆที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมและงานนี้ เราเองก็รู้สึกดีใจไปด้วย… Continue Reading “ความสุขไม่เคยจางหาย หากเกิดจากใจที่คิดจะให้ (Run for the Ocean)”

40,000 กิโลเมตร ง่ายนิดเดียว แค่ชาวบำรุงราษฎร์ร่วมใจ

ในที่สุดวันงานวิ่งที่เราเฝ้ารอคอยก็มาถึง นั่นคือ งานวิ่ง 40,000 km Bumrungrad Run Together งานนี้เป็นงานภายในของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่เราทำงานอยู่ จัดโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยมีเป้าหมายอยากจะให้พนักงานของโรงพยาบาลลุกขึ้นมาออกกำลังกายกัน และเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในองค์กร ตั้งแต่วันแรกที่ทีมงานเริ่มคิดว่าจะมีโครงการนี้เกิดขึ้น ก็เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนเท่านั้น เพื่อนที่เรารู้จัก ชื่อหนูวรรณ เป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้เป็นหลักคือคนที่ไม่วิ่ง ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่เคยไปร่วมงานวิ่งมาก่อน สิ่งที่เพื่อนทำคือ “หาข้อมูล” และเราบอกได้เลยว่า เธอเป็นคนหาข้อมูลได้เก่งมากจริงๆ จึงทำให้งานออกมาสมบูรณ์แบบอย่างนี้ได้ นอกจากหนูวรรณแล้ว ยังมีพี่แป๋ว ผู้ซึ่งมีพลังสร้างสรรค์มากมาย หากได้เห็นพี่แป๋วจัดกิจกรรมพนักงานเมื่อไหร่ ก็จะได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของพี่แป๋วและพนักงานเมื่อนั้น จากวันแรกที่ทางทีมผู้จัดเริ่มวางแผนงาน เรากลายเป็นที่ปรึกษากลายๆ อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์การวิ่งมานาน 5 ปี มีประสบการณ์เข้าร่วมงานวิ่งมานานกว่า 5 ปี เป็นเจ้าของเพจ Joylyrunning เป็นนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการบาดเจ็บในนักวิ่ง เลยคงจะเป็นคนที่น่านำไปช่วยให้ข้อมูลในแง่มุมของการวิ่ง เพื่อการจัดงานวิ่งที่ดีออกมาสักงานหนึ่ง… Continue Reading “40,000 กิโลเมตร ง่ายนิดเดียว แค่ชาวบำรุงราษฎร์ร่วมใจ”

ความปกติอยู่ที่ใจ ใช่ที่กาย

หลังจากการรอคอยอันยาวนาน 3 ปี ในที่สุดเราก็สามารถทำตามความฝันอีกหนึ่งอย่างได้แล้ว นั่นก็คือได้วิ่งเป็นเพื่อนกับคนตาบอด เราลงสมัครงานวิ่ง Run for the Blind ปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสวิ่งครั้งแรก เพราะ 2 ปีก่อนหน้าเราป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล ไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ ปีนี้จึงเฝ้าระวังตัวเอง ไม่ให้เป็นอะไรอีก แต่ก็เหมือนฟ้าแกล้งที่ 5 วันก่อนวันวิ่งเริ่มมีอาการหวัด แต่ก็หายได้ทัน โชคดีไป งาน Run for the Blind จัดขึ้นมาครั้งที่ 6 แต่ปีที่ 3 แล้ว จัดโดยกลุ่มอาสา Fokon ล้วนๆ และจัดกันเองด้วย ไม่พึ่งออแกไนซ์แต่อย่างใด รายได้จากการจัดงาน จะนำไปจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาให้กับผู้พิการทางสายตา โดยจัดให้มีการวิ่ง 2 ระยะ คือ 5 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ Group A Guide Runner จูงคนตาบอดวิ่ง5 กม. Group B Guide Runner จูงคนตาบอดวิ่ง10 กม. Group C วิ่งเดี่ยวหรือ จับคู่ปิดตาวิ่ง 5 กม. Group D วิ่งเดี่ยวหรือ จับคู่ปิดตาวิ่ง 10 กม. รางวัลมีให้เฉพาะคู่ปิดตาวิ่งเท่านั้น เราเลือกสมัครประเภทที่ 2 คือ 10 กิโลเมตรจูงคนตาบอดวิ่ง จึงต้องจ่ายเงินเผื่อคู่ตัวเองด้วย เนื่องจากงานนี้ผู้พิการทางสายตาวิ่งฟรี โดยที่คู่วิ่งจะได้รับเสื้อวิ่ง และเหรียญเหมือนกับเรา ส่วนคนที่ลงสมัครแบบธรรมดา ราคา 500 บาท และสามารถจับคู่ปิดตาวิ่งได้ เพื่อจะได้ลิ้มลองการวิ่งในโลกมืด ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ใครวิ่งจบได้เวลาดีก็คู่ควรกับรางวัลค่ะ เราได้รับเสื้อก่อนหน้าวันจริง 2 วัน เราโทรถามวันจันทร์ พบว่าเจ้าหน้าที่กำลังจะส่งให้วันอังคาร  ท่าทางจะยุ่ง พอได้เสื้อมาแล้วก็ชอบมาก ลักษณะเสื้อของงานนี้จะมีเชือกอยู่ทางด้านหน้าเพื่อใส่บิบสองรูบน และมีคลิปมาให้ แถมด้านข้างมีกระเป๋าให้ด้วย      เรามีนัดกับกลุ่ม Runway ที่หน้างานตีห้า เริ่มมาจากคุณออยแห่งเพจ Oily’s story ไปช่วยถือป้าย Pacer แล้วเลยขออาสาสมัครไปช่วยงาน หลังจากนั้นก็มีหลายเสียงขอตามมาว่าจะไปช่วยงานด้วย พอเจอหน้ากัน คุณออยก็ช่วยแบ่งงาน ไปถือป้าย Pacer 5 และ10 กิโลเมตร เพซ 7:00 จำนวน… Continue Reading “ความปกติอยู่ที่ใจ ใช่ที่กาย”