Explore the Knowledge for Runner
เพิ่งผ่านพ้นไปฟูลมาราธอน 1 สัปดาห์เต็ม ถามว่ารู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวดีหรือยัง ก็สามารถตอบได้ว่าดีกว่าฟูลแรกมากมาย คงเพราะปีนี้เริ่มวิ่งระยะทางรวมมากขึ้น วิ่งช้าลงกว่าแต่ก่อนมาก ดูแลร่างกายตัวเองมากขึ้น วิ่งในสนามอย่างค่อยเป็นค่อยไป คราวนี้จึงมีอาการเมื่อยล้าเพียงแค่ 2 วัน หลังจากนั้นก็เริ่มวิ่งเหยาะๆคลายกรดลดแน่นตัวในระยะสั้นๆ 5-7 กิโลเมตร ด้วยความเร็วแบบน้องเต่าได้สบายๆ 2 วัน มาวันนี้มีอาการปวดเมื่อยตามตัวก็เนื่องจากว่า เมื่อวานซืนดันไปเข้าคลาสต่อยมวยลูกผสม HIIT นี่ก็บ้าพลังตามครูฝึกไป สุดท้ายด้วยการเคลื่อนไหวที่แปลกแหวกแนวไปจากการวิ่ง เลยทำให้ร่างกายล้าระบมยิ่งกว่าวิ่งฟูลมาซะอีก แรกๆก็เลยยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆเราลงวิ่งงานนี้ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แค่อยากมีส่วนร่วมช่วยเหลือองค์กรรักษาสิ่งแวดล้อมดีๆอย่างมูลนิธิสืบนาคะเสถียรตามแนวคิดคนรักป่าและธรรมชาติแบบเราเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้จัดงานวิ่งมาแล้ว แต่ไม่ได้ไปเพราะเหตุผลหลากหลาย มาปีนี้เลยตั้งใจว่าจะมาให้ได้ ยิ่งเห็นเสื้อแล้วยิ่งชอบ ยิ่งอ่าน Concept งานแล้วยิ่งชื่นชม โดยเฉพาะแก้วน้ำพกพานี่ ชื่นชอบเป็นพิเศษ มาดูกันว่าในงานจะเป็นอย่างไร แต่ก่อนอื่นขอพาไปรู้จักมูลนิธิสืบนาคะเสถียรเพิ่มขึ้นอีกนิด โดยที่เราจะขออนุญาตนำพันธกิจของมูลนิธิมาแจกแจงเพื่อให้เพื่อนๆได้รู้จักองค์กรนี้มากขึ้น และหากใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถตามไปดูที่เวปไซท์ของมูลนิธิ http://www.seub.or.th ได้เลยค่ะ
พันธกิจของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
1. เป็นองค์กรที่สร้างและทำงานร่วมกับเครือข่ายในการอนุรักษ์ เพื่อเฝ้าระวังกฎหมาย นโยบาย โครงการ ที่ส่งผกระทบต่อระบบนิเวศของผืนป่า และสนับสนุนการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
2. เป็นองค์กรแห่งการสื่อสารสาธารณะ ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านผืนป่า สัตว์ป่า และทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานอนุรักษ์ และการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
3. สร้างกลไกการมีส่วนร่วมและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในผืนป่าตะวันตก 20 ล้านไร่ รวมถึงการลดผลกระทบจากชุมชนที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศในผืนป่าตะวันตก
4. หนุนเสริมให้ชุมชนในผืนป่าตะวันตกมีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่สมดุลกับธรรมชาติในผืนป่าตะวันตกทั้งพื้นที่คุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติ โดยการสนับสนุนอาชีพที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
5. ส่งเสริมประสิทธิภาพ และสวัสดิการผู้พิทักษ์ป่า
6. พัฒนาองค์กรให้มีรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ โดยการระดมทุนจากสาธารณะชนที่สนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิสืบฯ และการจัดทำสินค้าที่ระลึกเพื่อนำรายได้มาลดภาระค่าบริหารจัดการองค์กร
7. เป็นองค์กรที่มีความมั่นคง โปร่งใส น่าเชื่อถือ และมีบุคคลากรที่ทำงานอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพ
การจัดงานวิ่งครั้งนี้ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เพื่อหารายได้สมทบ “กองทุนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร” สำหรับใช้ในการดําเนินกิจกรรมอนุรักษ์ตามแผนและยุทธศาสตร์ขององค์กร และมีเป้าหมายสำคัญให้เพื่อนๆนักวิ่งทุกท่านได้ร่วมเรียนรู้และตระหนักถึงความสำคัญของผืนป่าตะวันตกที่เปรียบเสมือนบ้านของสัตว์ป่า ตลอดจนเรื่องราวการทำงานของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรในการรักษาผืนป่าตะวันตก เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สาธารณชนได้ร่วมสืบสานเจตนารมณ์ รักษ์ผืนป่าและสัตว์ป่าเช่นเดียวกับที่ ‘สืบ นาคะเสถียร’ ได้ตั้งใจรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้ยังคงอยู่สืบต่อไป
เมื่อเราทราบถึงเป้าหมายของการจัดงานแล้ว เราก็พร้อมเข้าร่วมอย่างเต็มภาคภูมิ ค่าสมัคร 600 บาท อาจแพงสำหรับบางคน แต่เราก็เต็มใจ และคาดหวังว่าคงจะเป็นเงินที่เข้าร่วมกับมูลนิธิได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากเสื้อ บิบ และเหรียญที่จะได้รับแล้ว ยังมีแก้วน้ำรูปใบไม้ให้ด้วย ทางผู้จัดประกาศมั่นเหมาะว่าจะลดขยะพลาสติกในงาน ดังนั้นจึงแจกแก้วยางแบบพกพาให้ทุกคนพกไปงาน เพื่อจะได้รับน้ำในแต่ละจุดได้
เนื่องจากงานจัดที่สวนหลวง ร.9 และไกลบ้าน จึงต้องไปค้างที่คอนโดรุ่นน้องแถวปุณณวิถี วันก่อนหน้าประชุมเลิกดึก กว่าเราจะได้นอนก็ห้าทุ่มแล้ว ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง ทานข้าวนิดหน่อย แล้วจึงออกมาที่งาน อีก 10 นาที ใกล้เวลาปล่อยตัว เราเดินหาที่ฝากของ พบว่าแถวยาวมาก เพราะมีคนรับฝากแค่คนเดียว ต้องเรียงเลขที่เขียนลงบนบิบทีละคน ไม่ได้ใช้เลขบิบเป็นเลขรับของ จึงทำให้ช้า ระหว่างรอคิว ครูดินก็นำวอร์มอยู่บนเวที เลยทำตามครูดินไปพลางๆ
ใกล้เวลาปล่อยตัว เราฝากของเสร็จ แต่ไม่สามารถเข้าจุดปล่อยตัวได้ เพราะคนล้นออกมาข้างนอก เลยยืนยืดรอเวลาปล่อยตัวผ่านไปสักห้านาทีจึงค่อยๆทยอยเดินออกจากจุดปล่อยตัว เป็นงานที่คนเยอะมากพอสมควร กว่าจะได้เริ่มวิ่งก็ผ่านไป 15 นาทีแล้ว
งานนี้เราตั้งใจมาวิ่งฟื้นตัวหลังวิ่งมาราธอน จึงคิดว่าจะจัดให้หัวใจอยู่ในโซน 2-3 เอาตามที่ร่างกายไหว และวันนี้อากาศค่อนข้างเป็นใจ ไม่ร้อนมาก แม้จะความชื้นสูงไปนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด เลยทำให้วิ่งไปได้เรื่อยๆ
ความสนุกอยู่ที่การรินน้ำลงแก้ว เผอิญว่าปากแก้วมันค่อนข้างเล็ก เลยรินยากหน่อย แต่ก็มีเจ้าหน้าที่เยอะ และมีความเชื้อเชิญให้เข้ามารับน้ำ แถมยังบอกว่าเอามือรองล้างหน้าก็ได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีแก้ว หรือลืมเอาแก้วมา
นอกจากเรื่องของการให้น้ำแล้ว ป้ายประกาศก็เป็นเรื่องที่ดีงาม ทั้งป้ายที่วางไว้ที่โต๊ะให้น้ำ ว่าให้ดื่มน้ำหมดแก้ว จะได้ไม่เปลืองน้ำ หรือจะเป็นป้ายที่ซุ้มให้อาหารที่บอกว่า ใช้ช้อนเดียวทั้งงาน เมื่อไปรับอาหารและได้ช้อน ทุกคนจะต้องใช้ช้อนคันเดียวจนหมดทั้งงาน แล้วไปคืนที่จุดแยกขยะพร้อมกัน
จุดคัดแยกขยะก็ดีงาม มีเจ้าหน้าที่คอยยืนบอกวิธีการแยกขยะอย่างอารมณ์ดี ไม่มีทีท่าเหนื่อยหน่ายเลย เราเลือกเมนูอาหารที่ทานคือบะหมี่ปราบเซียน ซึ่งเราหยิบอาวุธแค่ตะเกียบ ไม่ได้หยิบช้อน เมื่ออิ่มแปล้กับบะหมี่ปริมาณมากแล้ว เราก็ต้องเอาขยะไปทิ้ง วิธีการแยกก็ไม่ยาก เพราะเราก็ได้ทำอยู่เรื่อยๆอยู่แล้ว เทเศษอาหารลงถังก่อน แล้วก็ทิ้งชามกระดาษในถุงชามกระดาษ ทิ้งตะเกียบในถุงตะเกียบ เท่านั้นก็เป็นอันเรียบร้อย หิวน้ำเหรอ ก็เอาแก้วไปรับน้ำสิ อยากดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เหรอ ก็หยิบดื่มได้เลย ทางผู้จัดเตรียมไว้ให้มากมายอยู่แล้ว งานนี้ใช้เอ็มสปอร์ต ซึ่งบรรจุภัณฑ์เป็นแก้ว ไม่ใช่พลาสติก เวลาจะทิ้งก็ค่อยทำการแยกขวดแก้ว และฝาออกจากกัน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค่า เราเดินไปดูด้านหลังที่เจ้าหน้าที่รวบรวมขยะไว้ แค่ฝาขวดก็ไม่น่าจะต่ำกว่าพันฝาแล้วล่ะค่ะ แค่นี้เราก็ขนลุกนะคะ แล้วนี่งานอื่นๆที่แจกขวดพลาสติก จะเกิดขยะสะสมจากงานเดียวมากมายขนาดไหน ขอบคุณผู้จัดงานนี้ที่เปิดหูเปิดตาจากนักวิ่ง และก็ต้องขอบคุณนักวิ่งที่ให้ความร่วมมือกับผู้จัดเป็นอย่างดีด้วยค่ะ
เส้นทางวิ่งค่อนข้างดีตรงที่ไม่งง ป้ายบอกทางชัดเจน มีป้ายบอกระยะทางดีและตรง มีเจ้าหน้าที่ยืนประจำคอยบอกทางทุกจุดทางแยก อาจจะแออัดเป็นบางช่วง โดยเฉพาะช่วงวิ่งกลับตัว และช่วงที่วิ่งผ่านลานจอดรถ แม้ไม่มีการเชคอิน ไม่มีจุดเชคพอยท์ และมีการวิ่งวนกลับมาที่เก่า แต่หางนักวิ่งคนท้ายสุดก็หมดไปแล้ว ดังนั้นเราก็แค่วิ่งไปเรื่อยๆจนถึงเส้นชัย ได้รับเหรียญสวยๆแล้วก็พอใจแล้ว ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจช่วยเหลือป่าแล้ว ต่อไปถ้าอยากช่วยอีกก็สามารถเข้าไปที่เวปไซท์ของมูลนิธิได้เลยค่ะ
สรุปการวิ่งวันนี้มาแบบสบายๆ วิ่งไป 10.06 กิโลเมตร ด้วยเวลา 1:14:27 ชั่วโมง เลยได้ความเร็วเฉลี่ย 7:24 นาทีต่อกิโลเมตร
แม้จะพยายามคุมชีพจร แต่ก็หลุดไปโซน 4 อยู่เรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในโซน 3 มาเริ่มคุมไม่ได้ก็ช่วง 3 กิโลเมตรสุดท้ายค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้วค่ะ
เส้นทางมีการวิ่งขึ้นลงสะพานเลยได้กราฟความชันมาพอสมควร อุณหภูมิก็เป็นไปตามคาดคืออยู่ระหว่าง 29-30 องศาเซลเซียส
วันนี้ดีใจที่ตรงเส้นชัยได้เจอกับครูดินด้วยค่ะ ครูดินเป็นไอดอลในวงการวิ่งที่เราชื่นชม โดยเฉพาะเมื่อได้อ่านหนังสือวิ่งของครูแล้ว ก็ยิ่งชื่นชอบ เลยขอถ่ายรูปคู่กันหน่อย ถือว่าวันนี้เป็นวันดีอีกวันค่ะ
ถอดบทเรียนจากวันนี้ ร่างกายเป็นเพื่อนของเรา เราควรใช้มันให้ดี ให้คุ้มค่ากับที่เราได้มาครบ 32 ประการจากบุพการี เราอยากใช้ร่างกายอย่างไร ก็ต้องฝึกให้มันเป็นไปแบบนั้น นอกจากฝึกกายแล้วเราก็ต้องฝึกใจให้เรียนรู้การทำงานของร่างกายให้ดีที่สุดไปด้วย เพื่อให้ได้ผลการใช้งานที่ดีที่สุด โดยยังอยู่ได้ดีทั้งกายและใจไปจนแก่เฒ่า การฝึกไปเรื่อยๆทั้งกายและใจ สุดท้ายไม่มีใครได้ประโยชน์นอกจากคนลงมือทำ
ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีสุขภาพกายและใจที่สัมพันธ์กันดีนะคะ
Recent Comments