เรื่องราวเบื้องหลังภาพถ่ายจากบอสตันมาราธอน

ในงานวิ่งอีสเทิร์นสเตท 20 มิลเลอร์เมื่อเดือนที่แล้ว อารี ออฟเซวิท (Ari Ofsevit) นักวิ่งวัย 31 ปีจากแคมบริดจ์ แมสซาชูเซตส์ คือนักวิ่งคนแรกที่เข้าไปถึงนักวิ่งอีกคนหนึ่งที่ล้มลงไปบนพื้นเมื่อวิ่งผ่านไมล์ที่ 7 มาได้ไม่ไกล ออฟเซวิทรอจนกระทั่งหน่วยแพทย์ได้รับตัวนักวิ่งคนนั้นไปแล้ว เขาจึงออกวิ่งต่อ ทำให้เขาจบการแข่งขันด้วยเวลาที่มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้

เมื่อวันจันทร์ที่บอสตันมาราธอน ออฟเซวิทคือนักวิ่งที่ล้มลงไปเอง เขาล้มลงประมาณ 100 เมตรก่อนจะถึงเส้นชัย และนักวิ่งที่ตามมาคือ มิชท์ คีส์ (Mitch Keis) และ จิม ดริสคอลล์ (Jim Driscoll) ได้ก้าวเข้าไปช่วยหิ้วปีกเขาเข้าเส้นชัย

เมบ เคเฟซิกี้ (Meb Keflezighi) แชมป์บอสตันมาราธอนเมื่อปี 2014 ได้เห็นทั้งสามคนเข้ามาที่เส้นชัย จึงถ่ายรูปไว้แล้วทวีตออกไปและมีการส่งต่ออย่างแพร่หลาย ช่างภาพอีกหลายคนที่อยู่ที่นั่นได้จับภาพของพวกเขาไว้ด้วยเช่นกัน

มิชท์ คีส์ (Mitch Keis) นักวิ่งจากวิเบอร์ลีย์ เท็กซัส เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นออฟเซวิทหลุดไปจากมุมสายตาของเขา และเขาคิดว่าคงทำท่าเหมือน “ร่อนเครื่องบิน” ฉลองการเข้าเส้นชัย จนกระทั่งออฟเซวิทล้มลงไปกระแทกถูกขอบทางเท้า

ในตอนแรกคีส์พยายามใช้คำพูดให้กำลังใจเพื่อให้ออฟเซวิทลุกขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าออฟเซวิทต้องการความช่วยเหลือ คีส์จึงได้พยุงออฟเซวิทยืนขึ้นมา และคิดว่าออฟเซวิทสามารถที่จะเข้าเส้นชัยได้ด้วยตัวเขาเอง และเมื่อนั่นยังไม่ได้ผลอีก คีส์จึงเริ่มพยายามพยุงและดึงออฟเซวิทให้ออกเดินไปด้วยกัน

“ถึงจุดนั้น คุณต้องพาคนคนนี้ไปถึงเส้นชัยให้ได้” คีส์กล่าวกับ Runner’s World ผ่านทางโทรศัพท์หนึ่งวันหลังจบการแข่งขัน “เขามีความตั้งใจเกิน 100 เปอร์เซนต์ เขาทุ่มเททั้งหมดเพื่อเข้าเส้นชัย”

จิม ดริสคอลล์ (Jim Driscoll) นักวิ่งวัย 25 ปี จากฟิลาเดลเฟีย เพนซิลวาเนีย ระลึกถึงวันที่เขาเห็นนักวิ่งสองคนพยายามดิ้นรนอยู่ในขณะที่เขาวิ่งเข้าไปใกล้ และเขาคิดว่าถ้านักวิ่งทั้งสองคนไม่สามารถที่จะไปข้างหน้าต่อได้ในตอนที่เขาวิ่งไปถึงแล้ว เขาจะเข้าไปช่วย พวกเขาโยนแขนสองข้างของออฟเซวิทข้ามไหล่ของตนเองและพยุงออฟเซวิทจนถึงเส้นชัย

ทันทีที่พวกเขาเข้าเส้นชัย และร้องเรียกขอความช่วยเหลือ หน่วยแพทย์ก็ได้วิ่งมาถึงเกือบจะทันที ดริสคอลล์ และคีส์ได้ชนกำปั้นให้แก่กันโดยไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดและออกไปจากที่ตรงนั้นเพื่อทำเรื่องของตนเอง

“มันเหมือนกับรู้สึกว่า ‘โอเค ขอบคุณที่มาช่วยกันให้รอดมาได้’ พวกเราไม่ได้ต้องการพูดอะไร หรือสบถอะไรออกมา เรารู้กันอยู่แล้วว่าแต่ละคนคิดอะไรอยู่” ดริสคอลล์บอกแก่ Runner’s World ทางโทรศัพท์

“ผมชนกำปั้นกับจิมและจึงออกไปจากที่นั่นและผมล้มพับกระแทกลงบนพื้นตามปกติที่นักวิ่งมาราธอนมักหมดแรงกัน ผมเจ็บค่อนข้างมาก” คีส์กล่าว และเสริมว่าการช่วยออฟเซวิทให้ข้ามเส้นชัยนั้นทำให้เขาหมดแรงเกือบทั้งหมด

ขณะที่ชีวิตนักมาราธอนของออฟเซวิทเพิ่งเริ่มต้นขึ้น เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลเทิฟส์ เมดิคอล เซนเตอร์ (Tufts Medical Center) ด้วยอุณหภูมิร่างกาย 42 องศาเซลเซียส แพทย์ได้นำเขาลงแช่ในอ่างน้ำเย็น และลดอุณหภูมิลงจนเท่ากับ 31 องศาเซลเซียส

“จริงๆแล้วผมเป็นลมไปนานสามถึงสี่ชั่วโมง” ออฟเซวิทกล่าวกับ Runner’s World ทางโทรศัพท์จากโรงพยาบาลหนึ่งวันหลังจากการแข่งขัน “ผมจำไม่ได้ว่าผมมาที่เต๊นท์พยาบาล ผมจำไม่ได้ว่าถูกนำส่งโรงพยาบาล ผมจำไม่ได้แม้แต่ว่าผมถูกจับใส่เครื่องมือทั้งหมดนี้ เย็นนั้นครอบครัวผมมาหาผมและผมก็เป็นเหมือนกับว่า ‘เฮ้! เป็นไงบ้างเพื่อน’ พวกเขาตอบมาว่า ‘เธอเกือบตายได้เลยนะ’ และผมก็ตอบไปว่า ‘โอ้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอยู่บนเตียงโรงพยาบาลใช่ไหมเนี่ย โอเคเลย’”

ในขณะที่มีการเขียนบทความนี้ ออฟเซวิทยังคงอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ แต่เขาบอกว่าเขารู้สึกสบายดี และขอบคุณที่ยังมีชีวิตรอด
“ผมอยากขอบคุณคนที่ช่วยผมเข้าเส้นชัยทั้งสองคน และคนที่เต๊นท์พยาบาล และคุณหมอ” ออฟเซวิทกล่าว “เห็นได้ชัดเลยว่าผมเกือบจะตายซะแล้ว ดังนั้นผมต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือทั้งหมดอย่างมากๆๆจริงๆครับ นอกจากนี้ ขอขอบคุณสมาคมนักกีฬาบอสตัน (Boston Athletic Association) ด้วยครับ”

ออฟเซวิทยอมรับว่าเขาน่าจะดื่มน้ำไม่เพียงพอ เขาจะดื่มต่อเมื่อเขารู้สึกกระหายเท่านั้น

กลับมาที่สถิติของนักวิ่งทั้งสามคนกัน เมื่อดริสคอลล์และคีส์หยุดช่วยออฟเซวิท พวกเขาได้ยอมแพ้แล้วว่าไม่สามารถทำเวลาได้ตามที่ตั้งใจไว้เนื่องจากสถาพอากาศที่ร้อน และเหมือนกับออฟเซวิท ดริสคอลล์กำลังวิ่งมาราธอนที่ 2 ต่อจากบอสตันมาราธอน ในขณะที่คีส์วิ่งมาราธอนแรก แม้ว่าคีส์จะมีวันที่ลำบาก แต่ก็ถูกพัดจากไปโดยประสบการณ์ที่เพิ่งได้รับมา

“การวิ่งมาราธอนเมื่อวานนี้เป็นการแข่งขันที่แย่สำหรับผม แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่เหลือเชื่อที่สุดที่ผมจะได้เคยเป็นส่วนร่วมช่วยใครสักคนในชีวิตผม” คีส์กล่าว “การมองดูผู้คนที่เส้นชัยระยะ 42 กิโลเมตร และตะโกนดักหน้าพวกเราว่าทำเรื่องงี่เง่าคือเรื่องที่เหมือนฝัน”
เพราะว่านักวิ่งทั้งสามก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มต้นด้วยเวลาที่แตกต่างกัน ออฟเซวิทมีเวลาที่เร็วที่สุดในสามคน คือเวลา 3:03:05 ซึ่งต่ำกว่าเวลาที่ถูกคัดเลือกไปบอสตันมาราธอน 1:55 นาที ซึ่งเขาหวังว่าจะเพียงพอที่จะพาเขาไปสู่การแข่งขันในปีหน้าได้
คีส์จบการวิ่งด้วยเวลา 3:04:39 ชั่วโมง ในขณะที่ดริสคอลล์วิ่งจบด้วยเวลา 3:05:11 ชั่วโมง ในขณะที่คีส์ได้ทำลายสถิติคัดเลือกของเขาเอง นักวิ่งทั้งสองได้มีเวลาที่เร็วขึ้นจากการแข่งขันอื่นๆที่ควรจะนำพวกเขาไปสู่งานบอสตันมาราธอน 2017 ที่พวกเขาเลือกที่จะวิ่งต่อไป

(จาก The Story Behind This Viral Boston Marathon Photo โดย Alison Wade จาก Runner’s World เมื่อวันพุธที่ 20 เมษายน 2016)

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: