ไม่มีน้ำตา ไม่มีดราม่า เพราะรู้ว่าผลที่ได้มันสมควร

หลังจากชวดฟูลมาราธอนงานนี้ปีที่แล้วเพราะเจ็บหนักจนต้องลดระยะลงเหลือฮาล์ฟและซ้อมไม่ทัน มาปีนี้จึงตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะคว้าเหรียญ Finisher สวยๆมาครองให้ได้ แต่ก็เหมือนฟ้าลงโทษ อาการเจ็บเท้าแบบที่เลี่ยงไม่ได้เพราะโครงสร้างเท้ามีปัญหามาแต่เกิดทำให้หมองดให้วิ่งยาวระยะหนึ่งและต้องหลุดจากโปรแกรมซ้อมกลางทาง แต่เมื่อความฝันเรียกหา จึงทำให้ต้องมายอมรับความจริง และหาทางว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อไปให้ถึงจุดนั้น

ฟูลที่ 2 กับการต่อสู้กับอาการเจ็บเท้าที่ทำให้ซ้อมยาวไม่ได้ ระยะไกลสุดที่วิ่งถึงคือ 22 กิโลเมตร ซ้อมด้วยการถนอมตัวเอง แต่ยังคงวิ่ง 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่ต่ำกว่า 40 กิโลเมตรต่อสัปดาห์มานาน 6 เดือน เอาเวลาที่เหลือไปเล่นกล้ามท้อง สะโพก เข่าและเท้ามากขึ้น สลับกับคาร์ดิโออื่นๆวนไป แล้วมารอดูว่า ร่างกายให้รางวัลอะไรบ้าง

และแล้ววันที่เฝ้ารอก็มาถึง เราขับรถออกจากกรุงเทพเวลา 11.30 แต่เจอรถติดหนาแน่นที่ด่านเก็บเงินด่านหนึ่งจนต้องระเห็ดระเหินหาทางอื่นไป ไปๆมาๆก็ถึงจุดรับบิบเวลา 16.00 และกลุ่มน้องๆที่ขับรถตามมาสมทบเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรถเจ้าถิ่น ไอ้ที่วางแผนว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์ก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป ไปนั่งปัดยุงที่โรงพักแทน กว่าจะได้กลับบ้าน จัดข้าวของเสร็จ ก็ปาเข้าไป 23.00 ซะแล้ว

การจราจรเข้าไปรับบิบปีนี้พัฒนากว่าปีก่อนมาก มีการจัดกำลังทหารยืนโบกทุกจุดที่มีแยก และสามารถจัดระเบียบจนถึงที่จอดรถอย่างเรียบร้อย ที่จอดรถเพียงพอ ระบบรับบิบเป็นระเบียบ แต่เจ้าหน้าที่อาจน้อยต่อจุด โดยเฉพาะระยะมาราธอน ที่มีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คน ทำให้แถวยาวพอสมควร แต่ก็ยังพอรอได้ น้องๆทหารพยายามจัดระเบียบแถวให้อย่างเรียบร้อย ชนิดชี้เส้นบนพื้นให้ยืนรอเหมือนได้มาฝึกทหารกันเลยทีเดียว เราต้องรับบิบแทนน้องที่ประสบอุบัติเหตุและต้องรอประกัน และด้วยความที่น้องๆลงสมัครระยะไม่เหมือนกันเลย มีทั้งฟูล ฮาล์ฟ และมินิ ทำให้เราต้องไปรอคิว 3 ครั้ง เสียเวลาไปพอสมควร ส่วนการรับเสื้อก็ต้องรอรับทีละไซส์ กลุ่มเรา 4 คน เสื้อ 4 ไซส์ มีตั้งแต่ S, M , L, 3XL ดีที่คนไม่เยอะ ทำให้แถวไม่ยาว ใช้เวลาไม่นาน น้องทหารยืนดักทีละจุด ชี้ทางไปจนกว่าจะถึงสถานี C ซึ่งเป็นจุดเชคบิบ เป็นอันจบพิธี

หลังจากรับบิบแล้ว ก็เดินไปดูจุดปล่อยตัวสร้างแรงบันดาลใจให้ฮึกเหิมอีกสักหน่อย และอยากจะให้แน่ใจด้วยว่าจุดปล่อยตัวอยู่ที่เดิม เดินไปดูแล้วก็อดถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่ได้

เราชอบงานนี้ตรงที่มีร้านมาออกบูธขายอุปกรณ์กีฬามากมาย เราจึงไปเดินช้อปต่อ รอเวลาน้องๆเคลียร์เรื่องรถ แต่กลายเป็นว่าเรื่องไม่จบ เลยต้องไปนั่งรอนอนรอที่โรงพักเป็นเพื่อน รอขั้นตอนทางราชการที่เนิ่นช้า เหตุเกิดตั้งแต่บ่ายสาม แต่รอเจ้าหน้าที่มา และจนจบขั้นตอนที่โรงพักก็ประมาณสามทุ่มครึ่ง ได้ทานข้าวเย็นแล้วค่อยกลับบ้านเตรียมของ เราติดบิบแบบง่วงๆงุนๆ เตรียมเป้น้ำแบบเอาของเข้าออกแบบมึนๆ ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองพรุ่งนี้ แต่มาถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องให้ถึงที่สุด

เราตื่นตีสอง จัดข้าวหนึ่งจานเต็มท้อง แล้วออกเดินทางไปที่สนามแข่ง รุ่นพี่ที่เราไปขอใบบุญหลับนอนที่บ้านมีความใจดีออกมาส่งที่งาน เรากับน้องต้องผู้ซึ่งลงแข่งระยะฟูลก็พากันเดินเข้าสู่จุดปล่อยตัว น้องต้องเคยวิ่งฟูลสนามนี้เมื่อปีที่แล้ว และได้เปิดกราฟความสูงชันของเขาที่จะต้องวิ่งผ่าน โดยให้ข้อมูลว่า นอกจากเนินแรกที่เราเคยได้เจอเมื่อฮาล์ฟปีที่แล้วแล้ว ยังจะเจออีกเนินที่แสนจะหฤโหดตรงกิโลที่ 10 ด้วย ซึ่งเราก็ได้เตรียมใจมาแล้ว แต่ขานี่ไม่ได้ซ้อมขึ้นลงเนินสักเท่าไร เลยคิดว่าคงไม่พร้อม เลยบอกตัวเองให้เบาๆกับขาสักหน่อย และหวังว่าการวิ่งทั้งหมด 5 ปีที่ผ่านมา จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขาได้ และสามารถช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย

เราเดินเข้าสู่จุดปล่อยตัว ซึ่งผู้คนค่อนข้างหนาแน่นเรายืนยืดกล้ามเนื้ออยู่ด้านหลัง ปล่อยให้ขาแรงได้ออกแรงกันไปก่อน น้องต้องให้ข้อมูลว่า คนเยอะกว่าฟูลปีที่แล้วมาก ปีที่แล้วคนค่อนข้างโหรงเหรง แสดงว่ากิตติศัพท์งานนี้เป็นที่เลื่องลือ ทั้งเส้นทางวิ่งที่เรียกได้ว่าโหดสุดแห่งปี และระบบการจัดการที่เป็นทหารจัด จึงคาดหวังได้ว่าจะเป๊ะ แม้ระบบการรับสมัครปีนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่าจนกระแสฮือฮาว่าเป็นการสมัครหัวร้อนแห่งปี แถมพ่วงด้วยการทำบิบผิดระยะของฮาล์ฟและฟูลเกือบทั้งหมด จนต้องรีบส่งบิบที่ถูกต้องให้ใหม่เกือบไม่ทัน แต่ก็ถือว่าผู้จัดได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว คราวนี้ก็เหลือแต่เรื่องการจัดงานที่จะต้องมาวัดความสามารถของผู้จัดกันอีกที

ความกังวลก่อนปล่อยตัวก่อตัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับงานไหน ในหัวมีแต่คำว่าซ้อมระยะไม่ถึง ดังนั้น เรื่องแรกที่ตกลงกับตัวเองคือ ต้องมีสติ และยอมรับความจริงเท่านั้น เราวางแผนไว้ว่า ให้สังเกตร่างกายตัวเองตลอดเวลา ถ้าส่ออาการที่บ่งบอกว่าอาการเจ็บจะแย่ลง เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง หยุดคือหยุด อย่ามองที่เส้นชัยแค่ตรงหน้า แต่ต้องมองให้ไกลถึงตอนอายุ 80 ที่เราฝันว่าเราจะยังคงวิ่งได้ เราคิดว่าการวางแผนเพื่อ DNF ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าแผนการวิ่งที่วางมาไม่เป็นใจ เราสามารถสลับโหมดไปแผน DNF ได้อย่างศิโรราบ

แล้วแผนการวิ่งคืออะไร ณ จุดเริ่มต้น เราจะเจอเนินแรกยาว 4 กิโลเมตร มีช่วงพักทางราบตรงกลางเล็กน้อยแล้วขึ้นต่อ เราจะวิ่งเท่าที่ไหว คุมโซนหัวใจไม่ให้เกินโซน 3 หากขาเริ่มล้าให้หยุดเดิน หลังจากนั้นจะเป็นทางลงเขา และวิ่งริมทะเล ตรงนั้นสามารถทำระยะได้ ก็ให้เข้าโซน 3 ไปได้เลย และเมื่อถึงโลที่ 10 ที่น้องต้องบอกไว้ว่าจะขึ้นเนินอีกครั้ง เราจะเดินสลับวิ่ง ซึ่งคงต้องดูความชันของเนิน และประเมินกำลังขาเป็นพักๆ หากขาล้าให้เดินเท่านั้น และดูโซนหัวใจกำกับ หากเป็นเส้นทางเดิม น้องต้องได้บอกไว้ว่าเราจะถึงเรือหลวงจักรีนฤเบศรที่กิโลเมตรที่ 16-17 และเมื่อถึงเวลานั้น ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ที่เราเฝ้ารอ เราจะเริ่มเดินสลับวิ่ง โดยกำหนดวิ่งพันก้าว สลับเดินร้อยก้าว หากถึงจุดให้น้ำจะรับน้ำแล้วเดินจนหายเหนื่อยแล้วจะไปต่อ เราเลือกที่จะเดินขึ้นเนินชันและวิ่งเบาๆลงเนิน กับทางราบแทน เราตั้งใจว่าจะทำอย่างนี้ไปจนจบ ทั้งหมดนี้ เป็นแค่แผนที่ตั้งใจไว้ มาดูความเป็นจริงกันเลยว่าจะเป็นอย่างไร

ใครๆก็ว่าสนามนี้โหดน่าดูชม ทำให้รู้ว่าประมาทไม่ได้ การมีสติประคับประคองถนอมตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ แผนการเดินสลับวิ่งไม่ใช่เรื่องน่าอาย เมื่อร่างกายรองรับการวิ่งตลอดเส้นทางไม่ได้ เราจึงต้องยอมรับความจริง และตั้งสติให้มั่น สติจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ดังนั้น สติรวมกับวิธีการไปให้ถึงจุดหมายจึงสำคัญที่สุด

เราผ่านเนินหฤโหดที่ 4 กิโลเมตรมาได้อย่างสบายๆ โดยยังคงวิ่งกับน้องต้องอยู่ แต่เมื่อวิ่งผ่านตลาดสัตหีบ และทางเลียบทะเล ขาก็เริ่มบอกความล้าผิดปกติ แต่ไม่มาก เราเลยบอกน้องต้องให้ไปก่อนเลย ส่วนเราขอลดลงมาคุมโซน 2 จากเมื่อสักครู่อยู่โซน 4 หากปล่อยให้อยู่โซน 4 นาน เกิดแลคเตทสะสมเยอะ อาจทำให้ไม่จบได้ เราวิ่งคุมโซน 2 ไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อย ไม่ล้า สบายตัวขึ้นมาก จึงทำเวลาและระยะได้ดี ดูเพซแล้วอยู่ในระดับ 7 กว่า ลมเย็นๆพัดมาปะทะหน้า หัว และตัว ช่วยลดความร้อนในตัวและผ่อนคลายมากๆ

เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 10 ที่คาดว่าจะต้องวิ่งขึ้นเนิน กลายเป็นเลี้ยวซ้ายวิ่งเข้าเขตทหาร ออกสู่ถนนที่ทอดตัวเข้าสู่เรือรบ ถนนเส้นนั้นขึ้นเนินยาวไปเรื่อยๆสุดลูกหูลูกตาสำหรับนักวิ่งอย่างเราที่ยังคงหลับใน เมื่อต้องมาวิ่งในช่วงเวลาที่ปกติจะนอนผึ่งพุง และตรงนั้นก็เป็นกิโลเมตรที่ 17 แล้ว รวมถึงปกติเราชอบวิ่งตอนเย็น และจะตื่นวิ่งตอนเช้าก็ต่อเมื่อมีงานวิ่งเท่านั้น บวกกับเมื่อคืนได้นอนเพียง 3 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายเริ่มออกอาการล้าจากการพักผ่อนไม่พอ ทั้งที่กำลังกายยังดี และหัวใจยังคงปกติ เพราะเราประคับประคองให้หัวใจอยู่ในโซน 2-3 ไม่ให้หลุดโซน 4 มาตลอด

เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง เป็นสีฟ้าเข้มๆ เราก็วิ่งมาได้ 19 กิโลเมตรแล้ว มองเห็นเรือรบอยู่ไกลๆ อีก เราก็เริ่มตื่นเต็มตาและตื่นเต้น ประมาณ 2 กิโลเมตรจะถึงจุดกลับตัว เราเห็นเพื่อนๆที่กลับตัวกันมาแล้วสวนทางเราออกไป เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เรือรบแล้ว วิ่งผ่านป้ายที่เขียนว่าไปหาดนางรำหาดนางรอง ตอนนั้นตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นเรือมาก่อน และเราถือว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเรา การที่ทางผู้จัดให้มากลับตัวที่ระยะกิโลเมตรที่ 21 พอดี เป็นผลทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง คือทำให้เรามาถึงครึ่งทางแบบมีจุดมุ่งหมาย ช้ากว่าปีที่แล้ว เพราะเราเองก็คิดว่า ร่างกายคงส่งสัญญาณล้าอีกทีหนึ่งหลังระยะ 21 กิโลเมตรมาแล้วแน่ๆ เพราะซ้อมระยะไกลสุดมาเพียงแค่นั้น การวิ่งถึงก่อนเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะการนับถอยหลังกับระยะทางที่เหลือต่อจากนี้สำหรับเรา คือการแข่งขันที่แท้จริง นั่นคือแข่งขันกับความแข็งแรงทางกาย และความเข้มแข็งทางใจของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น

เราหยุดถ่ายรูปกับเรือและนาฬิกาจับเวลาที่จุดกลับตัวประมาณ 10 นาที เป็นช่วงเวลาที่ไม่เสียดาย เพราะด้วยบรรยากาศที่เห็นเพื่อนนักวิ่งทุกคนครื้นเครงกับการถ่ายรูป และฟ้าก็สว่างพอดี ได้ภาพสวยๆที่มีแสงเพียงพอ และดูเหมือนทุกคนจะตื่นเต็มตาแล้ว จึงส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ใครมาเป็นกลุ่มก็เฮฮา ใครมาเดี่ยวๆก็ผลัดกันช่วยถ่ายรูป นี่คือเสน่ห์ของการวิ่งระยะมาราธอนจริงๆ เราได้ยินคุณลุงกลุ่มหนึ่ง เรียกให้วิ่งกันต่อเพราะหยุดถ่ายรูปกันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เราวิ่งกลับตัวขณะที่เวลาโชว์บนแผงนาฬิกาไซโก้ขนาดใหญ่บอกเวลา 3:10 ชั่วโมง

เราวิ่งกลับออกมาสวนนักวิ่งคนอื่นที่กำลังจะได้เข้าไปเห็นเรือรบใกล้ๆกันแล้ว เจอพี่ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งปรบมือให้กำลังใจนักวิ่งที่สวนมาว่าอีกนิดเดียว จะถึงเรือรบแล้ว นี่ก็คืออีกหนึ่งบรรยากาศที่พบเจอได้ง่ายดายในสนามวิ่งมาราธอน การส่งต่อกำลังใจนั่นเอง

เราเจอนักวิ่งหญิงท่านหนึ่งนั่งอยู่ข้างทางคนเดียว แรกๆนึกว่าเป็นตะคริว จึงวิ่งเข้าไปหา กะว่าจะยืดให้ แต่ปรากฎว่าปวดเข่ามาก วิ่งต่อไม่ไหว ขณะที่กำลังจะควักสเปรย์ออกจากกระเป๋า ก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งจากหน่วยปฐมพยาบาลวิ่งเข้ามาพาออกไปที่หน่วยพอดี เราเลยวิ่งต่อและหวังว่าน้องจะปลอดภัย ระหว่างนั้น มีนักวิ่งชายท่านหนึ่ง วิ่งมาหาเพื่อขอสเปรย์ที่เข่าและถามถึงเทปพันเข่า ซึ่งหน่วยปฐมพยาบาลไม่มี แต่เรามี เราพกมาเผื่อเท้าอาการกำเริบพอดี จึงหยิบออกมาทำการแปะให้พี่ผู้ชายท่านนั้นไป และหวังว่าคงจะพอช่วยได้บ้าง ไม่หลุดซะก่อน เพราะแปะบนผิวที่ถูกสเปรย์แล้ว กาวอาจแปะไม่ค่อยอยู่ หลังจากนั้นเราก็ออกวิ่งต่อ ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นมาคือ ความรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเอง

ปกติเราจะเป็นคนเริ่มพูดกับคนอื่นไม่เก่ง แต่ด้วยความที่เราได้รับการทักทาย และให้กำลังใจจากเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นอยู่เสมอ และเราก็รู้ว่ามันช่วยเพิ่มกำลังใจได้ แม้เราไม่รู้จักกัน ในงานนี้เราจึงเริ่มต้นทักคนอื่นก่อน และชวนคุยตอนเดินเหนื่อยๆกัน ทำให้ได้เพื่อนมากมาย และได้กำลังใจไปในตัวด้วย เป็นการแบ่งปันความสุข และส่งต่อกำลังใจที่ได้ผลดียิ่ง

เราวิ่งกลับมาทางเดิม ผ่านกรมอู่ทหารเรือ ตึกประชุมใหญ่ๆหลายตึก วูบหนึ่งที่หมดแรงตรงกิโลเมตรที่ 32 ตอนนั้นคิดว่าหรือจะพอ ความฝันอยากวิ่งให้นานชั่วชีวิต ไม่อยากเจ็บ มีพลังมากกว่า ดีกว่าต้องหยุดวิ่งก่อนเวลาอันควร แต่อีกวูบก็คิดว่ายังพอไปได้นี่นะ เราไม่ได้เจ็บจนเป็นสัญญาณว่าต้องหยุด แต่เพราะไม่ได้ซ้อมยาวจึงทำให้ร่างกายไม่คุ้นเคยกับการออกแรงในเวลายาวนานเช่นนี้ จึงบอกตัวเองว่าไม่หยุด ไม่อยากหยุด มาตั้งไกลแล้ว ถ้าจะต้องหยุด ก็ต่อเมื่อหมดเวลา Cut off แล้วกัน ในตอนนั้น นึกชมคนที่ DNF ตัวเองก่อนเวลา Cut off ว่ากล้าหาญมากที่ยอมรับความจริงได้ แม้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ทุกอย่างคือประสบการณ์ และมันคงดีกว่าที่จะฝืนต่อไปหากร่างกายไม่ไหวจริงๆ

ที่กิโลเมตรที่ 32 เส้นทางวิ่งกลับสู่ทางวิ่งริมทะเลอีกครั้ง ลมพัดเย็นสบาย เพื่อนนักวิ่งส่วนใหญ่เริ่มเดินกันแล้ว ใครยังพอวิ่งไหวก็วิ่งต่อ สำหรับเราเหลือการวิ่งร้อยก้าว เดินร้อยก้าวไปแล้ว นอกจากลมเย็นๆที่ช่วยให้ยังคงไปต่อได้ ก็ยังมีเสียงพูดคุยให้กำลังใจจากเพื่อนนักวิ่งที่มากันเป็นกลุ่มๆ เค้าให้กำลังใจกันเอง เราได้ยินก็พลอยได้กำลังใจขำๆไปด้วย มีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า เอ้า เล่นๆมา 32 กิโลเมตรแล้ว เอาจริงสักที อีก 10 กิโลเมตรเอง ก็เฮฮากันไป วิ่งๆไปเราก็จะเจอน้องๆทหารนาวิกโยธินมายืนเต้นส่งเสียงร้องเชียร์เป็นระยะๆ สร้างความครื้นเครงและบรรยากาศสนุกๆได้ดี

เมื่อวิ่งผ่านตลาดเราก็รู้แล้วว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ทางหลัก และแล้วเราก็เริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางเดียวกับฮาล์ฟปีที่แล้ว ที่มีบ้านพักเป็นหลังๆอยู่สองข้างทาง และเป็นเนินซึมๆ จนใครๆก็บอกว่าวิ่งก็ซึม เดินก็ซึม เส้นทางนี้มีรถวิ่งเข้าออกจากซอยและรถวิ่งทางหลักพอสมควร แม้มีทหารยืนดูเป็นจุดๆ แต่ด้วยความที่รถในนี้วิ่งเร็ว ไม่ค่อยสนใจนักวิ่ง เราเลยต้องเดินหลบๆบนฟุตบาท ไปจนถึงทางเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหลักอีกเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าตรงสู่หาดเตยงาม มีรถวิ่งสวนกัน แม้เจ้าหน้าที่จะตั้งกรวยแบ่งทางไว้ให้วิ่ง ก็ออกจะน่ากลัวจนเราต้องวิ่งหลบอยู่ริมฟุตบาท ตรงนั้นระยะทางเข้ากิโลเมตรที่ 36 แล้ว น้องต้องเข้าเส้นชัยแล้ว แต่เรายังเดินตากแดดที่ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆอยู่เลย

เมื่อวิ่งกลับมาเข้าเส้นทางหลักนี้ เราเมื่อยหลังส่วนล่างมากเหมือนกับว่ามันจะขาดออกจากขา แม้ก่อนหน้านี้จะหยุดยืดเรื่อยๆตามข้างทางพร้อมเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นๆ แต่ครั้งนี้เราต้องหยุดยืดข้างทางอยู่พักหนึ่ง มีพี่ผู้ชายท่านหนึ่งขี่จักรยานมาถามว่า เป็นอะไรไหม เราจึงถามว่ามีสเปรย์ไหม เรากำลังคิดจะควักสเปรย์ออกจากกระเป๋าพอดี แต่พี่เค้าควักออกมาจากกระเป๋าฉีดให้ที่หลังก่อน รู้สึกดีขึ้นอีกคราวหนึ่ง เราขอบคุณพี่ใจดี และออกเดินต่อไป

ตอนใกล้ถึงผาวชิราลงกรณ์ เราเจอเพื่อนนักวิ่งชายท่านหนึ่ง เดินหมดแรง เหงื่อเต็มหน้า และตัวเปียกด้วยเหงื่อ เดินลากขา ดูหมดแรงเต็มที่ เราวิ่งผ่านและหันกลับมามอง เห็นหน้าที่อ่อนแรงแล้วทำให้เราต้องหยุดให้กำลังใจ เราพยายามจะบอกว่า อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นวิวสวยๆของผาวชิราลงกรณ์แล้ว แล้วเพื่อนนักวิ่งก็พูดว่า ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ เราก็พยายามกระตุ้นอีกนิดหนึ่ง ใจนึงลังเลว่าจะพาเดินไปด้วยกันดีไหม เค้าจะอยากให้ไปด้วยหรือเปล่า อีกใจก็ห่วงน้องๆที่รออยู่ที่เส้นชัยนานแล้ว สุดท้ายเพื่อนนักวิ่งกล่าวขอบคุณ เราจึงออกวิ่งต่อ ยอมรับว่ารู้สึกผิดที่ไม่ได้พาเข้าเส้นชัยด้วย

เราเดินขึ้นเนินสุดท้ายมุ่งหน้าสู่ผาวชิราลงกรณ์ อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่เป็นไฮไลท์ของงานนี้ จำได้ว่าปีที่แล้วเรามาถึงเนินนี้ด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน และยังแขยงปริมาณคนที่เยอะมากมาออกันในที่เดียว ปีนี้ทางผู้จัดจึงจัดให้เดินขึ้นทางหนึ่ง และวนลงอีกทางหนึ่ง ปัญหาคือต้องวิ่งขึ้นเนินไปกลับตัวไกลพอสมควร แต่ก็คุ้มค่า เพราะตอนนั้นแสงแดดส่องลงมาเต็มที่แล้ว สะท้อนกับน้ำทะเลทำให้เราเห็นเป็นสีฟ้าสดสวย ตรงจุดกลับตัวมีนาฬิกาบอกเวลา ซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับเรา แต่มีจุดบอกสุดเขตหาดเตยงามให้ถ่ายรูปต่างหากที่น่าสนใจ

และที่ผานี้นี่เองที่เหล่าช่างภาพมาอยู่รวมกัน และก็แถวนี้เองที่เราก็อยากมีรูปสวยๆ เลยยอมหันหน้าสู้แดด และออกวิ่งเฮือกสุดท้ายอีกรอบนึง

ยอมรับเลยว่า ช่างภาพทำให้เรามีแรงเฮือกสุดท้ายจริงๆ เลยได้ภาพสวยๆมามากมาย แบบว่าซื้อจนหมดงบซะด้วย เราวิ่งลงมาจากผาและก็เห็นเส้นชัยอยู่ตรงหน้าลิบๆแล้ว มาถึง ณ จุดนี้คงไม่มีอะไรมาหยุดเราได้แล้ว

เรามองหาพี่พงษ์แห่ง Papa Colorful ผู้ซึ่งบอกไว้ว่าอยู่ที่เส้นชัย รอถ่ายรูปสวยๆให้ และก็เห็นตากล้องคนสุดท้ายนั่งอยู่บนพื้น ใส่หมวกปิดหน้าปิดตาหมด เราชูมือให้ถ่ายแบบดีใจถึงซะที แล้วพี่พงษ์ก็เปิดผ้าออกมาทักทาย ตกใจหมดเลย

ที่เส้นชัยมีผู้บัญชาการนาวิกโยธิน และน้องๆทหารมายืนปรบมือต้อนรับท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยง รู้สึกดีมากๆที่ยังมีคนรอ เคยไปงานฟูลก่อนหน้านี้ เข้าคนท้ายๆ ไม่มีใครสนใจ งานแทบจะปิดหนีแล้ว นี่ยังมีคนคึกคัก มีเสียงบอกให้เดินไปรับผ้าขนหนู Finisher พอรับผ้าได้เท่านั้น ก็นั่งลงบนพื้นสนามหญ้าใต้เงาเต๊นท์แถวนั้นอย่างหมดแรง และชื่นชมเหรียญสวยๆอยู่คนเดียว นี่สินะ คือเหรียญที่เรามาตามล่า มันสวยเข้าไปถึงในใจเลยจริงๆ

เรานั่งยืดๆเหยียดๆสักพัก ก็เดินไปรับผลการวิ่ง และรับข้าวมาทานอย่างหิวโหย อาหารปีนี้ไม่คึกคักเท่าปีก่อน ที่มีร้านมาทำให้ทานสดๆตรงนั้น ทั้งข้าว ก๋วยเตี๋ยว แต่ปีนี้เป็นข้าวกล่องที่เมนูใกล้เคียงกันมาก ข้าวผัดหมู ข้าวผัดไข่ ข้าวหน้าหมู ข้าวหน้าไก่ แม้มีคูปองมาให้ 3 ใบ เอามาอย่างละกล่อง แต่รสชาติเหมือนกันหมดเลย แห้งๆเหมือนกันหมดด้วย เวลาเดินไปรับ มีป้ายบอกว่าเป็นเมนูอะไร แต่ข้าวที่วางแต่ละเต๊นท์ไม่ค่อยตรงกับป้าย เลยต้องเดินเวียนดูเองแบบงงๆ

เราเดินไปเห็นอ่างแช่เท้าที่เหือดแห้ง ท่ามกลางแดดจัดก็เสียดาย น่าจะมีให้นักวิ่งมากกว่านี้หน่อย อย่างน้อยอ่างน้ำเย็นก็มีส่วนช่วยสำหรับนักวิ่งที่มีการบาดเจ็บขาหลังเข้าเส้นชัยมา หรืออย่างน้อยก็สามารถช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกายได้ แต่ชอบอยู่อย่างก็คือ มีบาร์ให้ยืดกล้ามเนื้อด้วย แต่คราวหน้า ขอเต๊นท์บังแดดด้วยจะดีกว่า มันร้อนมากค่ะ

การให้น้ำในงานนี้ถือว่าดีนะคะ ขาดน้ำเย็น น้ำหมด และแก้วหมดบางจุดเท่านั้น ดีที่แบกเป้น้ำไปด้วย เพราะส่วนตัวเป็นคนดื่มน้ำเยอะ เคยเจอสถานการณ์ที่น้ำหมดเกลี้ยง เจ้าหน้าที่ยืนมองตาปริบๆ จะกร่นด่า สบถแบบคนอื่นเค้าทำก็ไม่เป็น เลยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขอพึ่งพาเทวดาที่ไหน พึ่งตัวเอง แบกเป้น้ำ พร้อมอุปกรณ์จำเป็นอย่างไฟฉาย เทปรักษา น้ำ ขนม แว่นกันแดด สเปรย์ นอกจากใช้เองแล้ว อาจมีโอกาสได้เผื่อแผ่คนอื่นด้วย แต่บางทีเบื่อกล้วยตากของตัวเอง เจอจุดให้ขนม และผลไม้ ก็หยุดยืนทานอย่างมีความสุขได้ จุดให้อาหารที่กิโลเมตรประมาณ 30 มีครบทั้งแตงโม กล้วยที่ช้ำแล้ว สัปปะรด (ไม่ค่อยเหมาะกับกระเพาะที่ว่างจากอาหารของนักวิ่ง) เดินมาหน่อยค่อยมีขนมปัง เค้กกล้วยหอมให้คว้าเข้าปากได้อย่างมีความสุข หลังจากเติมพลังแล้ว เราก็มีแรงวิ่งต่อได้

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่างานจะออกมาอย่างไรในรายละเอียด แต่เราว่าภาพรวมของงานก็ถือว่าดีแล้ว น้องๆทหารมีความตั้งใจในการทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในแต่ละจุด รวมๆกันจึงทำให้ผลออกมาดี นี่คือข้อดีของการเป็นทหาร นอกจากมีวินัยแล้ว ยังมีใจบริการด้วย รวมไปถึงการนำข้อติที่ได้จากนักวิ่งปีก่อนมาปรับปรุงในปีนี้อย่างเห็นได้ชัด เช่น เส้นทางวิ่ง การให้น้ำ สำหรับเราแล้วถือว่าสอบผ่านค่ะ

มาดูผลการวิ่งสักเล็กน้อยค่ะ ช่วงแรกปล่อยตัวจนถึงวิ่งขึ้นเนินไปสัก 1 กิโลเมตร GPS ในนาฬิกายังไม่ทำงาน จึงทำให้มีระยะทางที่มากกว่าปกติไปสักเล็กน้อย ได้ระยะรวมตามนาฬิกามา 42.65 กิโลเมตร เวลารวมนับจากจุดปล่อยตัวถึงเข้าเส้นคือ 6:36:07 ใช้พลังงานไป 2,506 แคลอรี ได้เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 9:17 นาทีต่อกิโลเมตร ได้เส้นทางวิ่งสวยๆอยู่ริมทะเล

มาดูชีพจรกันค่ะ ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในโซน 2-3 ซึ่งเป็นโซนที่เราคาดหมายไว้อยู่แล้ว มีหลุดขึ้นไปโซน 4 พอสมควรในช่วงขึ้นเนินช่วงแรกๆที่ทำให้เราต้องผ่อนลงหลังจากที่วิ่งลงเนินมาตรงเส้นเลียบทะเลแล้วนั่นเอง

ส่วนลำดับในการวิ่งนี่ ยอมรับเลยว่าไม่ได้ดูจนกลับบ้านแล้ว มีคนวิ่งฟูลมาราธอน 2385 คน เราได้ลำดับที่ 279 และได้ลำดับเดิมเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั้งหมด 489 คน แต่ถ้ามาดูในกลุ่มอายุ 40-49 ปี 177 เราก็อยู่ในกลุ่มหลัง ลำดับที่ 112 นี่แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีผู้หญิงเข้าร่วมฟูลมาราธอนน้อย แต่เป็นนักวิ่งที่มีคุณภาพกันทั้งนั้นเลย

และแล้วเราก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัย มีระบมเท้าเล็กน้อย นวดด้วยน้ำแข็งไปเรื่อยๆ เช้าอีกวันก็หาย และการวิ่งฟูลทำให้เรารู้ว่า การมีสติในทุกย่างก้าว และความแข็งแรงของร่างกายที่สั่งสมมาตลอด 5 ปีมีส่วนช่วยให้สามารถผ่านพ้นระยะทาง 42.195 กิโลเมตรมาได้เป็นอย่างดี แม้การมาร่วมงานในครั้งนี้เราจะไม่สามารถคาดหวังผลเรื่องเวลาได้ แต่เราก็ยังคงตั้งความหวังไว้ที่ระยะทาง ขอให้วิ่งจบได้แบบปลอดภัยเท่านั้นเป็นพอ และเราก็ทำได้แล้ว เวลาที่ได้มา ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเราเลย เรารักระยะฟูลมาราธอน เพราะมันสอนให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับความจริง มีสติกับปัจจุบัน อดทน และที่สำคัญที่สุดคือสอนให้มีน้ำใจกับตัวเอง และเผื่อแผ่ถึงผู้อื่นได้ด้วย

ขอบคุณน้องๆที่มาด้วยกัน ทำให้มีเรื่องสนุกสนานได้พูดคุยกันต่อไปอีกนาน

การเดินทางกับร่างกายตัวเอง แบบไม่สนใจเวลา และดื่มด่ำกับบรรยากาศสนุกๆจากเพื่อนนักวิ่งที่ร่วมทางกันมา มันมีความสุขมากๆจริงๆ ขอบคุณทุกกำลังใจจากเพื่อนนักวิ่ง บรรยากาศฟูลอบอุ่น เป็นมิตร และเข้าอกเข้าใจเสมอ ขอบคุณตากล้องทุกสำนักตรงผาวชิราลงกรณ์ ที่ทำให้มีแรงวิ่งอีกครั้ง การเดินทาง 6:30 ชั่วโมงได้จบลงแล้ว ไม่มีน้ำตา ไม่มีดราม่า เพราะรู้ว่าผลที่ได้มันสมควร

ขอให้เพื่อนนักวิ่งมีความสุขกับบรรยากาศฟูลมาราธอนกันนะคะ

8 กรกฎาคม 2561

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: